รายละเอียด : ผลาญ เล่ม 4
E-book ผลาญ เล่ม 4
เมื่อห่างจากรถม้ามาไกลพอสมควร เจี่ยงซู่ซู่ในชุดของ ชิงถิง ก็วิ่งอ้าวทันที หญิงสาววิ่งจนเหนื่อยหอบแต่ยังไม่ยอมหยุดฝีเท้า พอได้เห็นป่าฝนเขียวชอุ่มด้านหน้าจึงค่อยเปลี่ยนจากวิ่งเป็นเดิน พลางถอดเสื้อเปื้อนเลือดทิ้งอย่างรังเกียจ ในมือกำจดหมายฉบับหนึ่งไว้แน่น
แผนการกะทันหันนี้ถูกคิดขึ้นหลังจากที่หญิงสาวฟื้นจากยาสลบในตอนเช้า เจี่ยงซู่ซู่พบจดหมายไร้ที่มาฉบับหนึ่งในรถม้า ในจดหมายรำพึงรำพันถึงความรักความหลงใหลที่มีมานานแสนนาน จนไม่อาจทนเห็นนางถูกส่งไปจำวัดเป็นแม่ชีได้ เขาพร้อมยอมเป็นเกราะป้องกัน ขอเพียงนางกล้าพอที่จะให้โอกาส กระดาษจดหมายมีกลิ่นหมึกดอกท้อ เจี่ยงซู่ซู่จึงคาดว่าเป็นจดหมายที่ส่งมาจากบุรุษสักคนในตระกูลใหญ่โต ลายมือของเขาทั้งหนักแน่นและเปี่ยมเสน่ห์ แม้จะไม่รู้ว่าเจ้าของจดหมายเป็นใคร แต่คาดว่าจะต้องเป็นลูกหลานผู้ดีมีตระกูลเป็นแน่ อาจเป็นหนึ่งในบุรุษที่แอบชื่นชอบนางมาก่อน วันนี้ บิดากล้าละทิ้งนาง ดังนั้น บุรุษปริศนาจึงเปรียบเสมือนฟางเส้นสุดท้ายที่นางจำต้องยึดเอาไว้ หญิงสาวเชื่อว่าความงามของตัวเองจะสามารถเกาะกุมหัวใจบุรุษผู้นี้ได้
ภายภาคหน้าย่อมสามารถไต่เต้าขึ้นไปทีละก้าวได้อย่างมั่งคง ถึงตอนนั้นนางค่อยเขี่ยเขาทิ้งก็ยังไม่สาย อย่างไรเสียก็ย่อมดีกว่าไปเป็นแม่ชี บุรุษผู้นี้ยังแนบยาสลบมาด้วย นางจึงจัดการกับชิงถิงได้ อีกฝ่ายให้นางรออยู่ในป่า แต่ไม่ได้บอกเวลานัดหมาย ยิ่งรอ รอบด้านยิ่งเงียบสงัด จนเจี่ยงซู่ซู่อดนึกกลัวขึ้นมาไม่ได้ ขณะยืนรอบุรุษปริศนาด้วยหัวใจเต้นระรัว พลันได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นทางด้านหลัง เจี่ยงซู่ซู่ดีใจจนเนื้อเต้น รีบจัดแต่งอาภรณ์ของตนหวังให้ดูยั่วยวน กัดเม้นริมฝีปากเพื่อให้แดงก่ำดั่งกลีบดอกไม้ หยิกแก้มให้ดูมีเลือดฝาด ก่อนจะหันไปฉะอ้อนถามเสียงหวาน มาแล้วหรือเจ้าคะ ท่านคือคุณชายที่ส่งจดหมายมาให้ข้าใช่หรือไม่เจ้าคะ
บุรุษที่เพิ่งมาถึงหยุดฝีเท้าลง เรือนกายของเขาภายใต้แสงจันทร์สาดส่องทำให้เจี่ยงซู่ซู่ถึงกับชะงักค้าง ภาพที่เห็นไม่ใช่สิ่งที่คาดหวังไว้แม้แต่น้อย ผู้ที่เดินมาเป็นเพียงชายวัยกลางคนรูปร่างล่ำสันค่อนไปทางเตี้ย เขามีรอยแผลเป็นน่าสยดสยองลากยาวตั้งแต่ขมับถึงหางตา พอเห็นสาวงามเย้ายวนตรงหน้า อีกฝ่ายก็ส่งรอยยิ้มหื่นกระหายมาให้ทันที
เจี่ยงซู่ซู่เย็นวาบไปทั้งใจ ถอยหลังไปสองก้าว ถามเสียงสั่นเล็กน้อย เจ้าเป็นใคร ชายคนนั้นส่งเสียงหัวเราะ เมื่อเอ่ยปากพูดก็ใช้วาจาหยาบคายต่ำช้าจนแทบทนฟังไม่ไหว นังนี่ เป็นโสเภณีจากซ่องไหนกัน ดึกดื่นเที่ยงคืนยังกล้าร่านมาพบชู้รักกลางป่ากลางเขา ดูแต่งตัวเข้าสิ ทุเรศลูกตานัก ดูท่าชู้รักของเจ้าคงจะไม่มาตามนัด ถ้าเช่นนั้นกลับไปพร้อมข้าดีหรือไม่?
เจี่ยงซู่ซู่ตกใจแทบสิ้นสติ สองขาของนางถึงกับสั่นระริก แม้จะกลัวจนตัวสั่นก็ยังปากดี กล้าตวาดอีกฝ่ายเสียงดัง ไอ้คนชั้นต่ำ รู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร? บิดาข้าเป็นถึงขุนนางใหญ่ในเมืองหลวง หน็อย คิดจะชวนข้ากลับไปด้วย ไม่รู้จักเจียมกะลาหัว ต่อให้คนรับใช้ต่ำต้อยที่สุดของข้ายังแต่งกายดีกว่าเจ้าเลย ไอ้สวะเอ๊ย ถ้ารักตัวกลัวตายจงรีบไสหัวไปก่อนที่องครักษ์ของข้าจะมาดีกว่า
บุรุษผู้นั้นไม่สะทกสะท้านต่อคำด่า ทำเพียงหรี่ตายิ้มอย่างชั่วร้ายมากกว่าเดิม ตอนแรกข้าก็คิดว่าเจ้าอาจจะเป็นคุณหนูมาจากตระกูลสูงเพราะผิวพรรณผุดผาดเหลือเกิน นึกไม่ถึงว่าจะเป็นเพียงโสเภณีปากร้ายนางหนึ่ง เชอะ ขุนนางใหญ่ในเมืองหลวงรึ ขุนนางใหญ่ในเมืองหลวงจะมีบุตรสาวที่ไร้ยางอาย แต่งกายเปิดเนื้อหนังมายืนล่อผู้ชายกลางป่าเช่นเจ้าได้อย่างไร เจ้าคิดว่าเข้าไม่เคยเห็นคุณหนูผู้ดีกระนั้นรึ โธ่เอ๋ย นังสุนัขติดสัดเจ้ารู้จักข้าน้อยไปเสียแล้ว
เจี่ยงซู่ซู่เพิ่งตระหนักว่าคนตรงหน้าเลวร้ายกว่าที่ตนคิดมากนักอีกทั้งเจ้าของจดหมายที่นางรอก็ไม่มาเสียที จิตใจก็ให้ร้อนรน ในที่สุดจึงตัดสินใจหันหลังกลับแล้วออกวิ่งทันที พลางส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือ ใครก็ได้ ช่วยข้าด้วย แต่กลางป่ากลางเขาเช่นนี้ใครเล่าจะช่วยได้ ซ้ำร้ายก่อนหน้าก็เป็นนางเองที่วิ่งมาตั้งไกลเพื่อสลัดตัวเองให้หลุดจากเหล่าองครักษ์ของจวน นางเพิ่งตะโกนได้เพียงเท่านั้น ชายหยาบคายด้านหลังก็จิกหัวนางแล้วลากกลับมา