รายละเอียด : ต้องรอด THE REVENANT
ต้องรอด THE REVENANT
1 กันยายน 1823 พวกนั้นกำลังจะละทิ้งเขา ชายผู้บาดเจ็บรู้เมื่อมองไปยังเด็กหนุ่มผู้ทอดสายตาลงต่ำ ต่อมาก็ละสายตาไปทางอื่น ไม่เต็มใจจะสบตากับเด็กคนนี้
เด็กหนุ่มได้โต้เถียงกับชายผู้สวมหมวกหนังหมาป่าอยู่หลายวัน ใช่หลายวันจริงๆ ไหมนะ ชายผู้บาดเจ็บต่อสู้กับพิษไข้และความเจ็บปวดจนไม่เคยแน่ใจได้เลยว่า บทสนทนาต่างๆ ที่เขาได้ยินนั้นเป็นความจริงหรือเป็นเพียงผลพวงของความคิดสับสนเพราะอาการเพ้อจากพิษไข้
เขาเงยขึ้นมองโขดหินที่ชะโงกเงื้อมอยู่เหนือที่โล่งแห่งนั้น ต้นสนโดดเดี่ยวที่บิดเป็นเกลียวนั้นหาทางเติบโตขึ้นจากพื้นผิวเหี้ยนเตียนของโขดหินได้สำเร็จด้วยวิธีใดก็สุดจะคาดเดา เขาจ้องมองมันมาหลายครั้งแล้ว แต่ก็ไม่เคยเห็นมันเหมือนดังเช่นนาทีนั้น ตอนที่เส้นตั้งฉากของมันแลดูเหมือนรูปไม้กางเขนอย่างชัดเจน เขายอมรับเป็นครั้งแรกว่าก่อนจะถึงฤดูใบไม้ผลิ เขาจะตายอยู่ที่นั่น ณ ที่โล่งแห่งนั้น
ชายผู้บาดเจ็ดรู้สึกห่างเหินอย่างประหลาดต่อภาพฉากซึ่งเขามีบทบาทสำคัญ เขากังขาเพียงชั่วครู่ว่าจะทำอย่างไรหากว่าตัวเขาเป็นคนพวกนั้น หากพวกนั้นอยู่ที่นี่ และพวกนักรบอินเดียนแดงขึ้นมาตามลำห้วย พวกนั้นจะต้องตายกันหมด ฉันจะตายเพื่อพวกนั้นไหม หากว่าพวกนั้นจะต้องตายอยู่ดี
"คุณแน่ใจหรือครับว่าพวกนั้นกำลังขึ้นลำห้วยมา" เสียงของเด็กหนุ่มแตกพร่าขณะพูดถึงเรื่องนี้ ส่วนใหญ่แล้ว เขาสามารถบังคับตัวเองให้พูดด้วยเสียงในระดับสูงสุดของผู้ชายวัยผู้ใหญ่ แต่โทนเสียงก็ยังแตกพร่าในบางช่วงที่ไม่อาจควบคุมได้
ชายผู้สวมหมวกหนังหมาป่าก้มตัวลงอย่างรีบร้อนข้างราวตากเนื้อขนาดเล็กใกล้กองไฟ หยิบชิ้นเนื้อกวางที่บางส่วนแห้งแล้วยัดใส่ลงในหนังดิบที่ผ่านการแช่น้ำด่างมาแล้วของเขา "นายอยากอยู่ที่นี่เพื่อหาคำตอบไหมล่ะ" ชายผู้บาดเจ็บพยายามจะพูด เขารู้สึกเจ็บแปลบในลำคออีกแล้วมีเสียงเปล่งออกมา แต่เขาไม่อาจทำให้มันเป็นคำคำหนึ่งที่เขาพยายามจะพูดให้ชัด
ชายผู้สวมหมวกหนังหมาป่าเมินเฉยต่อเสียงนั้น ในขณะที่ยังคงเก็บรวบรวมสิ่งของที่มีอยู่น้อยชิ้นของเขา แต่เด็กหนุ่มหันมา "เขากำลังพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง" เด็กหนุ่มลงนั่งคุกเข่าข้างหนึ่งถัดจากชายผู้บาดเจ็บ เมื่อไม่อาจจะพูดได้ ชายคนนั้นจึงยกแขนข้างที่ใช้งานได้ขึ้นชี้ "เขาต้องการปืนไรเฟิลของเขา" เด็กหนุ่มพูด "เขาต้องการให้เราจัดเตรียมปืนไรเฟิลให้เขาครับ"
ชายผู้สวมหมวกหนังหมาป่าก้าวเร็วๆ อย่างระมัดระวังเข้าประชิดตัวเด็กหนุ่ม และเตะอย่างแรงเข้าที่แผงหลัง "ไปได้แล้ว แม่งเอ๊ย" เขาก้าวยาวๆ จากเด็กหนุ่มไปยังชายบาดเจ็บผู้นอนอยู่ข้างกองข้าวของเล็กน้อยของเขา ซึ่งประกอบด้วยถุงบรรจุสิ่งของใช้ประจำวันมีดในฝักประดับลูกปัด ขวานด้ามเล็ก ปืนไรเฟิล และกระบอกใส่ดินปืนในขณะที่ชายผู้บาดเจ็บมองอย่างช่วยเหลือตัวเองไม่ได้นั้น ชายผู้สวมหมวกหนังหมาป่าก็ก้มตัวลงหยิบถุงบรรจุสิ่งของใช้ประจำวันขึ้นมา ล้วงหาหินเหล็กไฟ และหย่อนพวกมันลงในกระเป๋าหน้าของเสื้อคลุมหนังของเขา เขาคว้ากระบอกใส่ดินปืนนขึ้นมาและสะพายไว้บนบ่า ส่วนขวานด้ามเล็กนั้นเขายัดไว้ใต้เข็มขัดหนังเส้นกว้าง
"คุณกำลังทำอะไรครับ เด็กหนุ่มถาม" ผู้ชายคนนั้นก้มตัวลงอีกครั้งหนึ่ง หยิบมีดขึ้นมาและโยนให้เด็กหนุ่ม "เก็บนั่นไว้" เด็กหนุ่มรับมีดไว้ และจ้องมองฝักมีดในมืออย่างตกตะลึง มีเพียงปืนไรเฟิลที่ยังเหลืออยู่ ชายผู้สวมหมวกหนังหมาป่าหยิบมันขึ้นมา ตรวจสอบแบบเร็วๆ เพื่อให้แน่ใจว่าได้บรรจุดินปืนเอาไว้แล้ว "เสียใจด้วยนะ เฒ่ากลาสส์ นายไม่จำเป็นต้องใช้ของพวกนี้อีกต่อไปแล้ว" เด็กหนุ่มดูตกตะลึง "เราจะทิ้งเขาไว้โดยไม่มีของของเขาไม่ได้นะครับ" ชายผู้สวมหมวกหนังหมาป่าเงยขึ้นมองเพียงชั่วครู่ ก่อนจะหายลับเข้าไปในป่า
ชายผู้บาดเจ็บแหงนหน้าจ้องไปที่เด็กหนุ่ม ผู้ยืนอยู่ตรงนั้นนานทีเดียวพร้อมกับมีดเล่มนั้น มีดของเขา ในที่สุด เด็กหนุ่มก็เหลือกตาขึ้นตอนแรกดูเหมือนว่าเด็กนั่นอาจจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แทนที่จะทำแช่นนั้น เขาหมุนตัวกลับและเผ่นหายเข้าไปในดงต้นสน
ชายผู้บาดเจ็บจ้องมองระหว่างช่องว่างของต้นไม้ตรงที่สองคนนั้นหายลับไป เขาเดือดดาลอย่างที่สุด มันกำลังกลืนกินเขาราวกับไฟที่ลุกท่วมใบรูปเข็มของต้นสน เขาไม่ต้องการสิ่งใดในโลกอีกแล้วนอกจากการวางมือรอบลำคอของพวกนั้น และบีบให้หายใจไม่ออกจนตาย
เขาเริ่มตะโกนด้วยสัญชาตญาณ ลืมไปอีกว่าลำคอเปล่งเสียงไม่ได้ มีแต่จะเจ็บปวด เขาใช้ข้อศอกซ้ายยันตัวเองขึ้น แขนขวางอได้เล็กน้อย แต่มันไม่อาจรองรับน้ำหนักได้ การขยับตัวส่งความเจ็บแปลบแล่นไปตามลำคอกับแผ่นหลัง เขารู้สึกได้ถึงความตึงของผิวหนังตรงรอยเย็บหยาบๆ มัดไว้แน่น เขาไม่อาจจะเกร็งกล้ามเนื้อต้นขาเพื่อทำให้เขาข้างนั้นทำงานได้
เขารวบรวมพละกำลังและพลิกตัวอย่างงุ่มง่ามลงนอนคว่ำ รู้สึกได้ถึงการขาดอย่างฉับพลันของเส้นด้ายที่ใช้เย็บแผลเส้นหนึ่ง กับความเปียกชื้นอุ่นๆ ของเลือดที่ไหลออกมาใหม่บนแผ่นหลัง ความเจ็บปวดเจือจางลงจนไม่รู้สึกอะไรเลยเมื่อมันปะทะกับกระแสความเดือดดาลของเขา ฮิว กลาสส์เริ่มคืบคลาน
เนื้อหาปกหลัง : ต้องรอด THE REVENANT
สุดยอดบทประพันธ์ สู่สุดยอดภาพยนตร์ระดับโลกรางวัลออสการ์ นีคือบทพิสูจน์แห่งความทนทายาด ทุกหยาดหยดของเลือดที่กลาสส์เดียไปเพราะภยันตราย หาได้ร้ายแรงเท่ากับการถูกทรยศไม่ เส้นทางกลางป่าเขาในยุคบุกเบิกคือบททดสอบความทรหดของชายคนนี้ แม้ชีวิตถูกคุกคามสาหัส แม้ลมหายใจจะแผ่วเบา แต่ใจยังร่ำร้องว่า ต้องรอด
พวกนั้นฆ่าเขา ฆาตกรรมเขากะให้ตายแน่ๆ เหมือนใช้มีดปักที่หัวใจ ฆาตกรรมเขาแต่เขาจะไม่ตาย เขาสาบานว่าจะไม่ตาย เขาจะมีชีวิตอยู่เพื่อฆ่าไอ้พวกที่ฆ่าเขา
รีวิวโดยสำนักพิมพ์ : ต้องรอด THE REVENANT
เสน่ห์ของวรรณกรรมเรื่อง "The Revenant ต้องรอด" คือความสมจริงและความตื่นเต้นที่ จับต้องได้ สมจริงเพราะอิงข้อมูลทางประวัตศาสตร์ในยุคบุกเบิกของสหรัฐอเมริกา และตื่นเต้นเพราะเหตุการณ์ ในเรื่องเกิดขึ้นในโลกที่คนทั่วไปแทบไม่มีโอกาสได้สัมผัสในชีวิตประจำวัน
ยุคบุกเบิกของสหรัฐฯ คือยุคแห่งการแสวงโชคและการผจญภัยหลังจากที่คลาสแอคท์ได้นำเสนอวรรณกรรมเรื่อง "สุดแดนเกียรติยศ" ซึ่งเน้นภาพของสตรียุคบุกเบิกได้อย่างน่าประทับใจไม่รู้ลืมและผ่านการสร้างเป็นภาพยนตร์แล้วนั้นน่าตื่นเต้นเร้าใจ หรือบีบคั้นหัวใจเพียงใด คลาสแอคท์หวังให้นักอ่านได้ลองอ่านทั้ง "ต้องรอด" และ "สุดแดนเกียรติยศ" ไปด้วยกัน แล้วจะพบว่าเนื้อหาจะจับใจไปตลอดชีวิต
เรื่อง The Revenant คือผลงานทรงคุณค่าทั้งในด้านความสนุกความรู้เชิงประวัติศาสตร์ และภาพพรรณนาภาพ จบบางครั้งอาจต้องหรี่ตา หรือกัดฟันขณะอ่าน เพราะมันบีบคั้นบ้าง รับไม่ได้บ้าง ลุ้นบ้าง เอาใจช่วยบ้าง หรืออาจตั้งคำถามว่าขนาดนั้นเชียวหรือ? รอดมาได้อย่างไร?