รายละเอียด : สุราหวานบ่มรัก
ทว่าการเป็นสตรีผู้หนึ่ง ยามที่ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายเช่นนี้ก็ย่อมมีความหวังเล็กๆ ในส่วนลึกที่สุดของก้มบึ้งหัวใจอย่างเลี่ยงไม่ได้ว่าบุรุษที่นางรักมาทั้งชีวิตผู้นี้จะประนีประนอมสักนิดเพื่อนางหรือไม่
แม้เพียงนิดเดียว ขอเพียงสามารถให้นางสัมผัสได้ถึงความรักของเขา นางก็ตายตาหลับแล้ว น่าเสียดายที่ไห่เจิ้นไม่ได้ยินเสียงความหวังในก้นบึ้งหัวใจนาง การเป็นบุรุษผู้หนึ่ง ซ้ำยังเป็นบุรุษในสนามรบ เขาจึงมีเรื่องที่ไม่อาจดูแลไปพร้อมกันได้มากมายเกินไป
บรรยากาศรอบด้านบีบเค้นจนคล้ายว่าเพียงแค่หายใจแรงไปสักนิดก็จะตายไปใต้เงื้อมดาบเสียอย่างนั้น หากแต่ความอาจหาญหัวค้ำฟ้าเท้าเหยียบดินของไห่เจิ้นข่มบรรยากาศทั้งหมดทั้งมวลนี้ไว้ เขาเดือดดาลเป็นที่สุด แต่กลับหัวเราะฮ่าๆ ออกมาแทน
"สตรีผู้นี้เป็นได้อย่างมากก็แค่สหายที่เก็บผลหม่อนด้วยกันในวัยเด็กของข้า หากท่านคิดว่าสามารถนำนางมาขู่ข้าได้ เช่นนั้นก็เขลาเกินไปแล้ว" สองมือไห่เจิ้นยื่นไปด้านหลัง หยิบศร น้าวคันธนู แล้วยิงออกไปในรวดเดียว
แม่ทัพใหญ่เวยอู่นามว่า ไห่หยางเวย เป็นชายชาตรีผู้แกร่งกล้าวิทยายุทธ์เยี่ยมยอด สติปัญญาและความกล้าหาญเหนือผู้คน สร้างความดีความชอบนานัปการที่ชายแดน เขาสังหารข้าศึกมานับไม่ถ้วน อีกทั้งเคยโจมตีทูเจวี๋ย ที่เขาอินซานจนข้าศึกถอยร่นไปสองร้อยลี้ กวาดล้างพื้นที่นอกกำแพงทางเหนือ ในราชสำนักไม่มีผู้ใดไม่ยำเกรงเขา
ในหมู่ราษฎร ไห่หยางเวยได้รับการเคารพบูชาอย่างเต็มเปี่ยม ถึงขนาดมีคนปั้นรูปปั้นศาลให้เขา กราบไหว้ยึดถือปานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หลายปีหลังจากเขารบชนะทูเจวี๋ย ชนเผ่าอื่นก็ไม่กล้าแข็งข้ออีก เห็นได้ชัดถึงความยิ่งใหญ่ของชื่อเสียงอันเกรียงไกรของเขา
องค์จักรพรรดิทรงเห็นว่าเหตุการณ์ทางชายแดนไม่มีอะไรแล้วจึงทรงย้ายไห่หยางเวยกลับเมืองหลวง จวนที่เขาพำนักในเมืองหลวงก็เป็นเพียงบ้านหลังใหญ่พร้อมลานบ้านสองแห่ง ซึ่งใหญ่กว่าบ้านเรือนประชาชนทั่วไปเพียงเล็กน้อย ตั้งอยู่ที่ตรอกอานซั่นห่างจากเมืองหลวงไม่มากนัก เห็นได้ถึงความเด็ดเดี่ยวซื่อตรงไม่ประจบสอพลอและสุจริตทั้งชีวิตของเขา
จักรพรรดิรัชกาลก่อนทรงก่อตั้งตลาดทักษิณที่ตรอกอานซั่น แม้ไม่เจริญเหมือนตลาดบูรพาและตลาดประจิม แต่ก็มีพ่อค้าวาณิชหาบเร่แผงลอยแวะเวียนไปมา และสิ่งเดียวที่ตลาดทักษิณสามารถยกมาสู้ตลาดบูรพาและตลาดประจิมได้ก็คือสุรา
มีคำกล่าวว่า ไม่ดื่มชาเซียนเหริน ต้องเมาสุราตลาดทักษิณ แสดงถึงความน่าหลงใหลชวนให้คนเพลิดเพลินของสุราตลาดทักษิณ แม้กระทั่งชาซึ่งดื่มแล้วทำให้คนกลายเป็นเซียนได้ยังต้องถูกโยนทิ้งไป แต่ทว่าการจะหาสุราชั้นเลิศที่แท้จริงให้เจอในตลาดทักษิณ หากไม่ใช่คนท้องถิ่นก็จะไม่รู้ ซึ่งสุราที่ได้รับการยกย่องที่สุดก็คือ สุราห้าบุปผา ของ ร้านสุราหมิงเยวี่ย
คำนำ : สุราหวานบ่มรัก
หากใครกำลังมองหาความรักโรแมนติกอยู่ มากกว่ารักขอส่ง สุราหวานบ่มรัก ความรักของหนึ่งหนุ่มกับหนึ่งสาวทึ่ค่อยๆ บ่มความรักมาตั้งแต่เมื่อครั้งยังเป็นเด็กมาให้ทุกท่านได้แอบยิ้มหวานกันค่ะ
โดยเรื่องนี้เป็นเรื่องราวของสองหนุ่มสาวผู้ใกล้ชิดกันมาตั้งแต่เมื่อครั้งยังเด็ก เนื่องจากจวนแม่ทัพของเขาและร้านสุราของนางอยู่ติดกัน จึงทำให้เป็นเพื่อนข้างบ้านที่เล่นสนุกร่วมกันมา โดยพระเอกของเราเป็นถึงบุตรชายของท่านแม่ทัพใหญ่ แต่เขากลับไม่ชอบเรียนหนังสือ จึงทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง กับหญิงสาวผู้ที่ชื่นชอบการหมักสุราเป็นชีวิตจิตใจที่หวังว่าตนนั้นจะรับช่วงต่อกิจการจากบิดา
แม้เขาจะตัวใหญ่และมีพละกำลังมหาศาลจนนางตั้งฉายาให้ว่า หมีดำยักษ์ แต่เขากลับไม่สามารถชนะหญิงสาวได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว เป็นเพราะเหตุใดกันที่เขาถึงยอมนางแต่เพียงผู้เดียว ความรัก ความผูกพัน หรือสิ่งใดกัน!
เนื้อหาปกหลัง : สุราหวานบ่มรัก
เพียงเพราะคำพูดสั่งสอนเพียงไม่กี่ประโยคจากปากของนาง หญิงสาวเจ้าของร้านสุราเลื่องชื่อที่กล้าต่อกรกับเขาทำให้ ไห่เจิ้น ชายหนุ่มผู้ไม่เอาไหนที่คอยใช้แต่กำลังกลับมีปณิธานอันแรงกล้าจนกลายเป็นแม่ทัพใหญ่เจิ้นเป่ยไปเสียได้
แต่ผู้ใดจะคิดว่าหลังจากเขากลายเป็นแม่ทัพใหญ่ต้องแบกรับภาระใหญ่หลวง กลับมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดให้เขาต้องเลือกระหว่างสองสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต หนึ่งคือหญิงในดวงใจ หนึ่งคือแผ่นดินที่แบกรับแม้จะปวดใจจนเจียนจะตาย แต่เขาจำต้องหักใจเลือกเพียงทางเดียว
รีวิวโดยผู้เขียน : สุราหวานบ่มรัก
ในที่สุดก็เขียนนิยายโบราณชุดแรกในชีวิตจบแล้ว เฟิงกวงก็จะได้หนีจากคำพูดพวก จือฮูเจ่อเหยี่ย แล้วสินะ เพราะว่าทุ่มเทกับการเขียนหนังสือมากไป เวลาพูดคุยตามปกติเลยติดสำนวนแบบคนโบราณโดยไม่ตั้งใจ ฟังแล้วทั้งประหลาดทั้งคาดไม่ถึง ทำเอาเพื่อนฝูงญาติพี่น้องข้างตัวเฟิงกวนตกอกตกใจไม่น้อย ต้องขอโทษด้วยนะคะ
ตอนที่เขียน สุราหวานบ่มรัก เล่มนี้ได้ค้นพบเรื่องสนุกมากมาย ถ้าพูดว่าขณะเขียนนิยายสภาพจิตใจผู้เขียนจะได้รับอิทธิพลไปด้วย อย่างนั้นหนังสือเล่มนี้เฟิงกวนก็เขียนไปยิ้มไปแน่นอน
ขอพูดก่อนว่านิสัยของพระเอกเป็นสิ่งที่เฟิงกวนชอบมาก พระเอกองอาจห้าวหาญมั่นใจในตัวเอง แต่พอเจอนางเอกก็ไปไม่เป็น คนที่เหมือนราชสีห์ ข้างกายราชินีพรรค์นี้น่าเร้าใจอย่างมาก และก็แสดงอะไรได้หลายอย่างด้วย ส่วนนางเอกก็ยิ่งทำให้คนต้องจับตาดู ท่ามกลางสังคมอนุรักษ์นิยมในสมัยโบราณ เธอกลับมีไหวพริบปฏิภาณ เฉลียวฉลาด และเชื่อมั่นในตัวเองอย่างเต็มเปี่ยม เธอเป็นอัจฉริยะในหมู่สตรีที่ทุกคนต่างยกย่องสรรเสริญ แต่ก็ไม่เสียความงดงามอ่อนหวานของผู้หญิงไป เฟิงกวนอิจฉาคนที่มีภาพลักษณ์แบบนี้สุดๆ แต่น่าเสียดายที่ลองก้มหน้ามองตัวเองแล้ว เฮ้อ ยอดพธูอย่างอวีซีฉุนมีชีวิตอยู่แค่ในหนังสือเท่านั้นแหละ
เกี่ยวกับชื่อชาวทูเจวี๋ยในหนังสือ คุณบ.ก. บอกว่าตอนอ่านเจอ ยาฮู ก็ทนไม่ไหวต้องหัวเราะออกมา เฟิงกวนยอมรับว่านี่ออกจะตลกอยู่สักหน่อย แต่เฟิงกวนรับรองว่าเธอไม่เกี่ยวอะไรกับเว็บไซต์ค้นหาชื่อดังบางเว็บ
ยาฮู ทับศัพท์จากภาษาทูเจวี๋ย แปลว่า ทับทิม ส่วนซ่าปา กู่รุ่ยซือก็เป็นคำทับศัพท์ที่แปลว่า แสงตะวันยามอรุณรุ่ง ที่จริงแล้วมีแค่ชื่อ อาศื่อน่าเยี่ยหวัน องค์ชายรองของทุเจวี๋ยเท่านั้นที่เฟิงกวนตั้งขึ้นเอง อาสื่อน่าเป็นแซ่จริงๆ ของเชื้อพระวงศ์ทุเจวี๋ย แต่เยี่ยหวัน ก็ได้ๆ เดิมทีเฟิงกวนอยากให้เขาชื่อกังหวัน แปลว่าลูกชิ้นหมู แต่ชื่อนี้ตลกเกินไปจริงๆ เฟิงกวนกลัวว่าพอผู้อ่านเห็นชื่อจะระเบิดหัวเราะออกมาทันที บรรยากาศเคร่งเครียดคงได้ถูกทำลายหมด ถึงได้เจตนาเปลี่ยนตัวอักษรหนึ่ง
แต่ถ้าอ่านแวบแรก เยี่ย กับก้ง ก็คล้ายกันมาก จริงไหมคะ ผู้อ่านโปรดอภัยในรสนิยมแผลงๆ เล็กๆ น้อยๆ ของเฟิงกวนด้วย เพราะว่าเฟิงกวนอยากให้เขาชื่ออาสื่อนาก้งหวันจริงๆ นี่นา
ดังนั้นการเขียนหนังสือเล่มนี้จึงสนุกมากจริงๆ สนุกจนเฟิงกวนเขียนเสียจำนวนอักษรเกินไปมาก หวังว่าคงจะไม่ก่อให้เกิดความยุ่งยากแก่บรรณาธิการเกินไปเฟิงกวนจะพิจารณาตัวเองอย่างหนัก ต่อไปจำนวนอักษรที่เกินมาจะน้อยลงนิดหนึ่ง (รู้สึกจะไม่มีความจริงใจในการขอโทษเลยสักนิด)
กลับมาพูดถึงนิยายกันเถอะ สุราหวานบ่มรัก ไม่ได้เขียนยุคสมัยไว้อย่างแน่ชัดแม้ว่าเรื่อง สุราหวานบ่มรัก จะเขียนถึงการสงครามและจำเป็นต้องเอ่ยถึงชื่อแคว้น แต่ก็ใช้คำว่า จงหยวน ไม่ก็ ราชสำนัก มาเอารอดไปเช่นกัน ที่สุดแล้วนิยายก็แต่งขึ้นตามจินตนาการ เฟิงกวนไม่อยากให้ผู้อ่านเกิดความเข้าใจผิด นำประวัติศาสตร์จริงบ้างปลอมบ้างมารวมเข้าด้วยกัน เกิดมีคนเข้าใจผิดคิดว่าบางราชวงศ์ในสมัยโบราณมีแม่ทัพเจิ้นเป่ยชื่อไท่เจิ้นเข้าจริงๆ จะแย่เอา
แต่ความจริงแล้วเฟิงกวนใช้ระบบและอาณาจักรจากยุคสมัยหนึ่งมาเป็นแบบจริงๆ นั่นแหละ เวลาอ่านจะไม่ค่อยรู้สึกขัด ไม่รู้ว่าเหล่าผู้ชาญฉลาดจะเดาได้ไหมว่าเป็นสมัยราชวงศ์ไหน
ขณะเขียนนิยายเรื่องนี้ เฟิงกวนกำลังอ่านนิยายโบราณอิงประวัติศาสตร์เล่มหนาปดึ้กเรื่องหนึ่งอยู่ รวมๆ แล้วมีสิบกว่าเล่ม ทำเอาวิงเวียนตาลาย แตเพราะตัวเองก็กำลังเขียนเรื่องโบราณ เวลาเปลี่ยนโหมดกลับมาทำงานเขียนก็เลยไม่ได้ขัดกันนัก
แต่ถึงอย่างนั้นพอนิยายเรื่องนี้จบลง เฟิงกวนก็เริ่มอ่านนิยายสยองขวัญเรื่องหนึ่งอีก อ่านแล้วใจหายใจคว่ำอยู่ทุกวัน อดกังวลขึ้นมาไม่ได้ว่าถ้าเกิดตอนลงมือเขียนนิยายเรื่องใหม่ พระเอกจะมีหนอนไชออกจากเบ้าตาหรือมือของนางเอกที่ยื่นออกมาจะกลายเป็นกระดูกขาวซีด สวรรค์ เฟิงกวนไม่กล้าจะจินตนาการเลย
คุณ บก. เคยถามเฟิงกวนว่าต้นฉบับเล่มต่อไปเป็นแนวปัจจุบันหรือโบราณ อันที่จริงเฟิงกวนก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่โอกาสเป็นเรื่องปัจจุบันจะมากกว่าล่ะมั้ง ให้ผู้เขียนเปลี่ยนรสชาติสักหน่อย เปลี่ยนจากชุดคลุมยาวสมัยโบราณเป็นชุดสูทกระโปร่งสั้นก็ค่อยสนุกกับการอ่านขึ้นหน่อย
ตอนที่เขียนเรื่องโบราณ เฟิงกวนต้องค้นข้อมูลมากมาย ต้องศึกษาค้นคว้าอย่างหนัก เฟิงกวนเลยอยากให้สมองตัวเองได้พัก ลำดับต่อไปเลยน่าจะเป็นเรื่องปัจจุบันค่ะ
หวังว่าทุกคนจะชอบนิยายเล่มนี้ และชอบนิยายเล่มต่อๆ ไปด้วยนะคะ