รายละเอียด : คลื่นทราย สายลมรัก
เมื่อมองเห็นรถโฟลวีลที่จอดตรงลานหน้าบ้าน ร่างที่นั่งในรถม้ามีผ้าใบสีฟ้าพาดบังแดดง่ายๆ เป็นหลังคา ถึงกับพูดอย่างตื่นเต้นว่า "ลุงปูรดาเร็วๆ เข้ารู้อย่างนี้หนูขี่ม้ามาเองดีกว่า ไอ้เจเป็กนี่ช้าเป็นบ้าเลย" ตอนท้ายเสียงเล็กๆ อดไม่ได้ที่จะกล่าวหาเจ้าม้าแก่ที่เดินเยื้องย่างอย่างสบายๆ "ใจเย็นๆ ก็ถึงแล้วนี่ จะรีบร้อนทำไม่" ปูรดาชายสูงวัยตอบเนิบๆ แล้วแส้ในมือก็ตวัดไปที่หลังม้า หมายจะให้มันเดินเร็วขึ้น แต่คนที่นั่งยุกยิกอยู่ข้างหลังเหมือนจะไม่ทันใจร้องขึ้นว่า "หยุดๆ หนูจะวิ่งไปเอง" "อย่า" ปูรดาตะโกนห้ามแต่ก็ไม่ทัน เมื่อมีเสียงตุ้บดังขึ้น เขาหันไปพร้อมกับดึงม้าให้หยุด แต่ร่างเล็กที่กระโดดลง ก็ถลาเซไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ก่อนจะหันมายิ้มแฉ่งให้
"ขอบคุณค่ะ" แล้วคนพูดก็หันวิ่งตื๋อไปอย่างรวดเร็ว ปูรดาถอนใจพลางส่ายหัวน้อยๆ เมื่อมองตามเด็กหญิงที่วิ่งเร็วจนเป้ที่สะพายหลังเด้งไปมา ห่างไปประมาณร้อยเมตรคือ บ้านดินหลังเล็กมีต้นอาเคเซียสสองต้นใหญ่ร่มครึ้มปลูกอยู่ตรงหน้า เขามองจนมั่นใจว่าเด็กหญิงไปถึงหน้าบ้านนั่นแหละ เขาจึงถอนใจออกมาเฮือกใหญ่อีก ก่อนจะใช้แส้ตวัดให้ม้าแก่เดินวกกลับ ราวกับหมดหน้าที่นำผู้โดยสารส่งถึงจุดหมายแล้ว
กับเด็กหญิงคนนี้ ก็รู้ว่าดื้อซนแค่ไหน แต่จะโทษใครได้ล่ะ ในเมื่อใครๆ ก็พากันรักเอ็นดูและตามใจกันมาตั้งแต่เด็ก ลงใครคนหนึ่งว่า อีกคนก็ต้องออกมารับแทน แต่ที่ดีคือเจ้าตัวเองก็ไม่ได้เด็กดื้อเอาแต่ใจตัวเองท่าเดียว ที่ห้ามไม่ฟังเมื่อกี้ เขาเองก็พอจะเข้าใจอยู่หรอกว่า เด็กหญิงคงตื่นเต้นดีใจที่ได้กลับมาเจอพี่ชายของตัวเอง เรื่องรักเรื่องเห่อพี่ชายแล้วละก็ ไม่มีใครเกินเจ้าตัวเล็กนี่หรอก
ส่วนเจ้าตัวเล็กที่พอได้ออกวิ่ง ก็วิ่งปร๋อไปด้วยความตื่นเต้สดีใจ ใบหน้านั้นยิ้มแฉ่งปะทะสายลม ส่งเสียงแจ้วๆอย่าร่าเริงว่า "พี่เบอร์ฮาน หนูกลับมาแล้ว พี่เบอร์ฮาน พี่เบอร์ฮาน" ไม่กี่อึดใจร่างนั้นก็มายืนหอบแฮ่กๆ อยู่หน้าบ้าน แต่คนที่เปิดประตูออกมากลับเป็นหญิงวัยกลางคน ใบหน้าคลุมด้วยผ้าสีสด สายตาของนางมีแววสงสัย "อ้าว คาริดา มายังไง ปูรดาไปรับไม่ใช่เหรอ" "หนูวิ่งมาก่อน พี่เบอร์ฮานอยู่ไหน" "เบอร์ฮานมากับเพื่อน แล้วออกไปที่เมดาวี" "ว้า จะกลับเมี่อไหร่" "ไม่ได้บอก"
วงหน้าเล็กๆ งอง้ำเล็กน้อย เมื่อคิดว่าทำไมพี่ชายไม่รอเธอ ทำไมต้องไปที่หมู่บ้านนั้นด้วย ทำไมต้องไปกับเพื่อนด้วย ก็เขาอยูกับเพื่อนๆ มาเป็นปีแล้ว ทำไมจะต้องเอาเพื่อนมาที่นี่ด้วย พรุ่งนี้จะเป็นวันเกิดครบแปดขวบของเธอ ทำไมเขาไม่อยู่กับเธอ "แต่ป้าเห็นเขาเดินเอาของเข้าไปเก็บในห้อง ไม่รู้ว่าเป็นของขวัญสำหรับหนูหรือเปล่า เป็นถุงกำมะหยี่สี" คำพูดของนางฮุสนายังไม่จบ ใบหน้างอๆ ของคาริดาก็เปลี่ยนเป็นยิ้มแป้นตาวาวด้วยความตื่นเต้น เมื่อเดินแกมวิ่ง ตรงไปยังห้องที่มีม่านหนาหนักปักลวดลายสีสันสดใส เมื่อเปิดเข้าไปแล้วก็มองรอบๆ เหมือนจะหาสิ่งแปลกปลอมในห้องที่ไม่มีอะไรมากมายนอกจากเตียง หีบไม้ ผนังอิฐเปลีอยมีรูปวาด และผ้าปักเป็นลายดอกไม้แขวนเอาไว้
ห้องนี้ยังเหมือนเดิมไม่มีอะไรใหม่ เหมือนไม่มีสิ่งแปลกปลอมอะไร เธอไม่ได้อยู่ที่นี่ประจำ เพราะไปอยู่กับลุงและป้าที่เรือนหลังใหญ่ทางด้านหน้า แต่เรือนเล็กหลังนี้จะห่างจากบ้านหลังอื่นๆ ออกมาอยู่ใกล้ๆเนินเขา มันเป็นบ้านเดิมของพ่อกับแม่เป็นบ้านที่เธอเกิด แต่เธอก็จำอะไรมากกว่านั้นไม่ได้ นอกจากการบอกเล่าของคนอื่นๆ ที่ไม่ค่อยจะพูดให้ฟังนักหรอก ราวกับว่าเรื่องที่พูดจะนำความสะเทือนใจมาให้เด็กตัวเล็กๆ อย่างเธอ ซึ่งพวกผู้ใหญ่คงไม่รู้ว่า เธอรู้มากแค่ไหนเพราะพี่ชายคนเดียวจะเล่าให้ฟัง อย่างไม่ปิดบัง พร้อมกับชับนักหนาว่า
พ่อแม่พวกเรา และพี่ก็รักน้องมากที่สุดกว่าใครๆ เธอเชื่อว่าพี่ชายไม่โกหก เพราะเขาสัญญาไว้กับพ่อแม่ว่าจะดูแลเธอ และเขาก็โตพอที่จะคุ้มครองเธอได้ อายุที่ห่างกันเป็นสิบปี ทำให้พี่เบอร์ฮานเป็นเสียยิ่งกว่าพี่ชาย เขาคือพ่อแม่ของเธอ ไม่ว่าใครก็เอาขนบธรรมเนียมที่ไหนมาแยกเธอจากเขาไม่ได้ มีเพื่อนสนิทๆ และคนที่พ่อเคารพนับถือยื่นมือมาเพี่อจะช่วยดูแลเธอไม่ว่าจะเป็น ชีคคาริบ ลุงยูซุฟ หรือคนอื่นๆ แต่พี่เบอร์ฮานก็ไม่ยอมจะมอบเธอให้กับใคร ลุงฮารุนที่เป็นสามีของป้าฮุสนาเคยพูดว่า พี่เบอร์ฮานดื้อ แต่ป้าฮุสนาบอกว่าเธอดื้อยิ่งกว่า เจ้าเล่ห์ด้วย เธอไม่รู้ว่าเจ้าเล่ห์คืออะไร เธอรู้แต่ว่าถ้าต้องการอะไร ก็ต้องเอามาให้ได้ และถ้าใครสัญญากับเธอไว้อย่างไร ก็ต้องทำอย่างนั้น และพี่เบอร์ฮานก็ไม่เคยผิดสัญญา
ร่างเล็กๆ เดินไปมา มองรอบๆ ไม่มีอะไรสะดุดตาว่า ของขวัญวันเกิดที่พี่ชายมักจะซ่อนเอาไว้ให้เธอเป็นคนหาเองจะอยู่ตรงไหน แล้วพลันสายตาก็มองหีบไม้ที่อยู่ใกล้เตียง คิ้วเรียวเล็กขมวดเข้าหากัน เมื่อจำได้ว่าปกติมันจะอยู่ใต้เตียง มันเป็นหีบเก่าของแม่ที่ตกทอดมาให้เธอ เธอเคยเปิดดูแต่ไม่ได้รื้อค้นอะไร เพราะไม่ได้สนใจมากนัก แต่ พี่เบอร์ฮานอาจจะเอาอะไรมาซ่อนไว้ก็ได้ เพราะพี่ชายไม่เคยซ่อนเอาไว้ในที่หาได้ง่ายๆ มันเป็นเกมล่าสมบัติเล็กๆ ระหว่างพี่น้อง ซึ่งเธอเองก็ชอบเล่นและดีใจนักหนาเมื่อหาเจอแล้วพี่ชายก็ชมว่า เก่งมากต่อไปจะหาอะไร ต้องให้ช่วยแล้ว ดังนั้นเธอจึงต้องเก่ง ต้องหาอะไรให้เจอเสมอ เพราะอยากช่วยพี่ชาย
คำนำ : คลื่นทราย สายลมรัก
ฉ้นจะผ่านวันนี้ไปได้อย่างไร ถ้าหัวใจจะไม่เฝ้ารอวันได้พบเธอ
ฉันจะผ่านคืนนี้ไปได้อย่างไร หากหัวใจจะไม่ครวญคำว่ารักเธอ
เนื้อหาปกหลัง : คลื่นทราย สายลมรัก
ในวัยเด็ก คาริดา อัล ชาครี ได้มอบสิ่งสำคัญให้กับชายคนหนึ่ง ต่างสัญญาว่าจะเก็บเป็นความลับ แล้วเธอมารู้ทีหลังว่า เขามีฐานันดรศักดิ์สูงส่งยิ่งนัก แต่เมื่อเกิดเรื่องระหว่างเขากับพี่ชายที่รักยิ้มของเธอ มันเหมือนโลกพังทลายไปต่อหน้า หนำซ้ำเวลาต่อมาเธอยังได้รับภาระกิจ ต้องช่วยให้เขาพ้นจากศัตรู เธอจะทำอย่างไร
ถ้าเขารอดถึงจุดหมายได้ เขาต้องยื่นความตายให้กับพี่ชายของเธอแน่นอน คำสัญญาที่เคยให้ไว้กับเด็กหญิงคนหนึ่ง เขาไม่เคยลืมเลือน และเฝ้ามองเธอเติบโต ด้วยความรักที่หยั่งรากลึกเงียบๆ แต่เมื่อเขาถูกลอบสังหาร จากพี่ชายคนเดียวของเธอ สาวน้อยที่กำลังเติบโต กลับโกรธ เกลียด กล่าวโทษเขาเสียอีก เอาเถอะ โกรธได้ โกรธไป เกลียดได้ เกลียดไป แต่เขาจะทำให้เธอกลับมาไว้ใจเขา เชื่อใจเขา และรักเขาให้ได้ ถ้าทำไม่ได้ ก็ไม่ใช่ มิคาอิล อัลอาซาบ แห่งสายเลือด อัลอิสสิรีย์แล้ว
รีวิวโดยผู้เขียน : คลื่นทราย สายลมรัก
คลื่นทราย สายลมรัก เป็นเรื่องราวของเจ้าชายมิคาอิลและคาริดา ที่เคยปรากฏอยู่ในเรื่อง คลื่นทราย ใต้แสงดาว (อาคิน-ระรินดาว) ซึ่งพิมพ์จำหน่ายตั้งแต่ปี 2552 ก็ได้คุยให้ฟังตอนนั้นว่า จะเขียนเรื่องนี้ตามมา แต่ก็ใช้เวลาห่างกันร่วมเจ็ดปีเลยทีเดียว ที่เรื่องคลื่นทราย สายลมรัก สำเร็จเสร็จออกมาเป็นรูปเล่ม
ตอนจะเริ่มลงมือเขียนก็คิดเหมือนกันว่า จะได้เห็นว่าตัวละครเขามีที่ไปที่มาอย่างไร เจ้าชายมิคาอิลกับคาริดาเขาอยู่ร่วมกันอย่างไรในเหตุการณ์ที่เหมือนอยู่ในเรื่อง คลื่นทรายใต้แสงดาว ซึ่งคนที่อ่านแล้วจะรู้ว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง แต่ที่ไม่รู้ก็คือตัวละครระหว่างเจ้าชายมิคาอิลและคาริดา เขาปะทะสังสรรกันอย่างไร ในระหว่างทางที่ไม่ได้เอ่ยถึงในเรื่องนั้น และเกิดอะไรขึ้นกับเขาบ้าง
ในตอนเริ่มแรกจึงเป็นการเขียนที่ใช้มุมมองของเจ้าชายและคาริดา เป็นการเล่าเรื่องแล้วก็ใส่ภูมิหลังของพวกเขาระหว่างทาง จนกรทั่งพวกเขาไปสร้างเรื่องราวความรักของพวกเขาเองจนจบ แต่การเขียนโดยมีไทม์ไลน์และเหตุการณ์ข้างหน้าบังคับเอาไว้แล้วนี่ มันก็ท้าทายเหมือนกันค่ะ การจะเขียนไปถึงตรงนั้นอารมณ์นั้นได้ จะต้องหารเหตุการณ์มาใส่ในรายละเอียด ดึงโทนอารมณ์ให้ไปทางปะทะขัดแย้งกัน เพราะเรื่องราวที่เขาแสดงในเล่มแรกนั้น มันออกไปทางนั้น
ความจริงก็เริ่มเขียนตั้งแต่ปลายปี 2556 ค่ะ แต่ในระหว่างนั้นก็เขียนเรื่องอื่นไปด้วย เรื่องนี้ก็เลยหยุดบ้าง เขียนบ้าง แล้วมาเขียนจบร่างแรกในเดือนพฤศจิกายน ปี 2558 ตอนเขียนจบร่างแรกนั้นจะอยู่ที่ประมาณ 300 หน้า ขนาดกระดาษเอสี่ ตัวหนังสือ 14 พ้อยต์ ก็คิดว่าจะใช้เวลารีไรต์ขัดเกลาสักเดือน แล้วจะได้เริ่มเข้ากระบวนการจัดพิมพ์
แต่ตอนที่รีไรต์นั้น คนเขียนไม่รีบ แล้วมีความรู้สึก อยากเปลี่ยนอยากเติม โน่น นี่ ไปอีก แล้วต้องใช้เวลามากกว่าที่ตั้งใจเอาไว้ แล้วเรื่องนี้จึงมาจบเอาที่จำนวน 360 หน้า ต้นฉบับเอสี่ค่ะ จบตรงนั้นแล้ว ก็ต้องมาเริ่มกระบวนการรีไรต์ใหม่อีกรอบ แล้วจึงได้เข้ากระบวนการจัดพิมพ์ ก็เลยต้องใช้เวลามากไปอีก
นวนิยายชุดคลื่นทรายนี้มีตัวละครเยอะค่ะ จากเรื่องเดิมก็ยังเก็บไม่หมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องผู้พันฮัซซาร์ ซึ่งมีนางเอกของเขาแล้ว เรื่องของเบอร์ฮานที่เป็นตัวต้นเรื่องมาตั้งแต่แรก มาบวกเข้ากับเรื่องของจามาล หรือแม้แต่ผู้พันเธอร์นีบอีก มาถึงเรื่องนี้ก็เติมตัวละครเข้ามาเพิ่ม เห็นทีทะเลทรายชุดนี้จะต้องมีเรื่องของคนอื่นตามมาอีก แต่ตั้งใจว่าจะเขียนออกให้เร็วขึ้นค่ะ ไม่ทิ้งห่างกันนานเป็นหกเจ็ดปีแล้ว ไม่อย่างนั้นคนเขียนเองก็จะจำไม่ได้
ขอให้สนุก มีความสุขกับการได้อ่านเรื่องราวความรักของเจ้าชายมิคาอิลและคาริดานะคะ