พระสารีบุตร

ผู้เขียน: นทธัญ แสงไชย

สำนักพิมพ์: อมรินทร์ธรรมะ

หมวดหมู่: ธรรมะ ศาสนา และปรัชญา , ธรรมะ ศาสนา และปรัชญา

5 (1) เขียนรีวิว

118.15 บาท

139.00 บาท ประหยัด 20.85 บาท (15.00 %)

จำนวนคะแนนที่ได้รับ 4 คะแนน

มหาสาวกผู้เป็นเลิศด้านปัญญา < แสดงน้อยลง มหาสาวกผู้เป็นเลิศด้านปัญญา
  • ส่วนลด:
    ลด 15%
  • โปรโมชั่น:Naiin.com ช้อปหนังสือคุ้ม ลดแรง ต่อที่ 1 หนังสือในเครืออมรินทร์ลดเลย 15%

118.15 บาท

139.00 บาท
139.00 บาท
ประหยัด 20.85 บาท (15.00 %)

จำนวนคะแนนที่ได้รับ 4 คะแนน

จำนวน :

1

  • โปรโมชั่นพิเศษ:
    • Naiin.com ช้อปหนังสือคุ้ม ลดแรง ต่อที่ 2 ลดเลยทันที 150 เมื่อซื้อครบ 1200.-
จำนวนหน้า
113 หน้า
ประเภทสินค้า
ขนาด
14 x 18.5 x 0.7 CM
น้ำหนัก
0.14 KG
บาร์โค้ด
9786161812805

รายละเอียด : พระสารีบุตร

พระสารีบุตร

ในสมัยพุทธกาล ไม่ไกลจากกรุงราชคฤห์มากนัก มีหมู่บ้านแห่งหนึ่ง อุปติสสคาม ตำบลนาลกะ ที่นั่นมีครอบครัวพราหมณ์อยู่ตระกูลหนึ่ง บิดาท่านชื่อ วังคันตพราหมณ์ ผู้เป็นมารดามีนามว่า นางสารีพราหมณี

วันหนึ่งนางสารีพราหมณีได้คลอดบุตร 1 คน ครั้นเวลาล่วงไป 10 เดือนจนถึงวันตั้งชื่อ เหล่าญาติได้ตั้งชือบุตรของนางสารีพราหมณีผู้นี้ว่า อุปติสสะ ด้วยความที่เป็นบุตรของหัวหน้าตระกูลในหมู่บ้านอุปติสสคามแห่งนี้

ไม่ห่างจากอุปติสสคามมีหมู่บ้านอีกแห่งหนึ่งชื่อว่า โกลิตคาม ตั้งอยู่ไม่ไกลจากกรุงราชคฤห์เช่าเดียวกัน มีนางพราหมณีอีกผู้หนึ่งนามว่า นางโมคคัลลีพราหมณี ก็คลอดบุตร 1 คน เช่นเดียวกัน ในวันตั้งชื่อ เหล่าญาติตั้งชื่อว่า โกลิตะ เนื่องด้วยตระกูลนี้เป็นหัวหน้าของหมู่บ้านโกลิตคาม

ความในอรรถกถากกล่าวว่าทั้งสองตระกูลนี้ผูกพันเป็นสหายกันมาแล้วกว่า 7 ชั่วอายุคน เมื่อให้กำเนิดบุตรพร้อมๆกัน สองตระกูลก็เลี้ยงดูกุมารทั้งสองเป็นอย่างดี มีแม่นม 66 คนคอยเลี้ยงดูสองกุมารให้เติบใหญ่ ครั้งทั้งสองคนเจริญวัยก็ได้เรียนรู้ศาสตร์ต่างๆ จนสำเร็จทั้งสิน

อุปติสสะและโกลิตะต่างใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย ไม่ว่าจะเดินทางไปยังแม่น้ำหรือไปเที่ยวเล่นที่อุทยาน ก็จะมีวอทอง 500 หลังแห่แหนอุปติสสะ และมีรถเทียมม้าอีก 500 คันเป็นเครื่องแห่แหนโกลิตะ อีกทั้งยังมีมาณพหนุ่มเป็นบริวารอีกคนละ 55

ตามปกติแล้วในกรุงราชคฤห์จะมีมหรสพบนยอดเขาเป็นประจำทุกปี ทั้งอุปติสสะและโกลิตะก็ไปร่วมชมมหรสพเป็นประจำ เกิดความร่าเริงเมื่อควรร่าเริง เกิดความสังเวชเมื่อควรสังเวช มีการตกรางวัลเมื่อควรตกรางวัล

วันหนึ่งเมื่อมาณพทั้งสองเดินทางมาดูมหรสพตามธรรมเนียมปกติ แต่กลับเกิดความเบื่อหน่ายไม่มีความยินดีร่าเริงหรือสังเวชตามที่สมควรจะเป็นเหมือนทุกครั้ง กาลนั้นทั้งสองกลับเกิดความคิดเหมือนกันว่า การมองดูมหรสพแห่งนี้ไม่มีแก่นสารอันใดเลย เมื่อคิดดูแล้วผู้แสดงมหรสพเหล่านี้ทุกคนล้วนต้องตายเมื่ออายุได้ไม่ถึง 100 ปีทั้งนั้น เราทั้งสองก็เช่นกัน ดังนั้นแล้วเราควรจะแสวงหาโมกขธรรมเสียดีกว่า

ทั้งสองจึงหารือกันว่า การมาดูมหรสพอย่างนี้เป็นการเสียเวลาและเมื่อเราทั้งคู่ตั้งใจจะเสาะแสวงหาโมกขธรรมเครื่องหลุดพ้นแล้วก็ควรจะออกบวชเสียอย่างใดอย่างหนึ่ง

ในขณะนั้นพระพุทธเจ้ายังไม่ตรัสรู้ธรรมและประกาศศาสนาอุปติสสะและโกลิตะพิจารณาดูก็เห็นว่ามีสำนักปฏิบัติของสัญชัยปริพาชกตั้งอยู่ในกรุงราชคฤห์ มีผู้เลื่อมใสออกบวชในสำนักเป็นอันมาก จึงตกลงกันออกบวชในสำนักของสัญชัยปริพาชกพร้อมกับมาณพผู้ติดตามอีก 500 คน

เวลาผ่านไปเพียง 2-3 วัน อุปติสสะและโกลิตะก็เรียนรู้วิชาจากสำนักของสัญชัยปริพาชกจนหมดสิ้น ครั้นไปถามท่านอาจารย์สัญชัยก็ได้ความว่า ความรู้ของสำนักนี้มีเพียงเท่านี้เจริงๆ ทั้งสองฟังแล้วก็คิดว่า นี้ไม่ใช่โมกธรรมเพื่อความหลุดพ้น  จะอยู่รั้งที่นี่ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ จึงออกจากสำนักเดินทางไปทั่วชมพูทวีป เมื่อได้ยินว่ามีผู้ใดเป็นบัณฑิตก็จะไปสนทนาถามปัญหา แต่กลับไม่มีผู้ใดแก้ปัญหาของทั้งสองได้เลย


สารบัญ : พระสารีบุตร

    • กำเนิดว่าที่อัครสาวกเบื้องขวา
    • บรรลุอมตธรรม
    • หนึ่งอสงไขยแสนมหากัป กว่าจะเป็นที่สุดแห่งปัญญา
    • ธรรมเสนาบดี
    • ธรรมะจากพระสารีบุตร
    • ที่สุดแห่งภพ

     


เนื้อหาปกหลัง : พระสารีบุตร

พระสารีบุตร

ในจักรวาลอันกว้างใหญ่นี้ ปัญญาอันไพศาลของพระสารีบุตรนั้น เป็นรองเพียงแค่พระพุทธเจ้าพระองค์เดียว อีกทั้งท่านยังเทศนาธรรมได้เสมอเหมือนพระพุทธองค์เอง พระสารีบุตรบำเพ็ยบารมีมาหลายภพหลายชาติจนได้รับพุทธพยากรณ์ ครั้นได้รับคำพยากรณ์ว่าจักได้เป็นพระอัครสาวกเบื้องขวาแล้ว ท่านก็ยังต้องบำเพ็ญบารมีต่อไปอีก เป็นเวลายาวนานถึงหนึ่งอสงไขยกับอีกแสนมหากัป ในชาติสุดท้ายจึงได้เป็นพระธรรมแสนาบดี ผู้เปี่ยมล้นด้วยปัญญาอันไม่อาจประมาณ ผู้ที่ทำอย่างนี้ได้นับว่าเป็นผู้ที่เสียสละและหาญกล้าอย่างหาที่สุดไม่ได้ ยิ่งได้ศึกษาและเรียนรู้จริยวัตรและอุปนิสัยที่สง่างาม องอาจ เปี่ยมด้วยปัญญา ยิ่งเพิ่มพูนศรัทธาและน้อมนำมาซึ่งปัญญา



รีวิวโดยผู้เขียน : พระสารีบุตร

พระสารีบุตร

การศึกษาธรรมในพุทธศาสนานั้นประกอบไปด้วยข้อปฏิบัติ 3 ประการ นั่นคือ สมาธิ ปัญญา รวมเรียกว่า ไตรสิกขา ข้อที่ทำให้พุทธศาสนามีความเป็นเลิศนั้นคือปัญญา อันเกิดได้จากการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเพียงทางเดียว

ปัญญาในที่นี้ไม่ใช่มีความรู้มากหรือจดจำข้อมูลได้มากแต่คือปัญญาที่เกิดจากการรู้แจ้งเห็นความจริงของธรรมชาติอันประกอบไปด้วยไตรลักษณ์และอริยสัจ 4 จึงเรียกได้ว่า ปัญญาคือเป้าหมายที่สำคัญที่สุดของการปฏิบัติธรรม และเมื่อพูดถึงปัญญาก็ต้องกล่าวถึงพระสารีบุตรเถระ พระพุทธเจ้าเคยตรัสถึงพระสารีบุตรไว้ว่า "ภิกษุนี้เว้นเราเสีย หาผู้เสมอด้วยปัญญาในหมื่นจักรวาลไม่ได้ เธอมีปัญญามาก มีปัญญาหนาแน่น มีปัญญากล่าวให้บันเทิงได้ มีปัญญาแล่นไปเร็ว มีปัญญากล้า มีปัญญาในการแทงตลอด"

พระสารีบุตรมีคุณอย่างไร เหตุไดพระพุทธองค์จึงตรัสสรรเสริญอย่างมากมายเช่นนี้ กล่าวโดยย่อ พระสารีบุตรหรือพระธรรมเสนาบดี คือพระอัครสาวกเบื้องขวาของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นเอตทัคคะหรือเป็นเลิศด้านมีปัญญามาก ในจักรวาลอันกว้างใหญ่นี้ ปัญญาอันไพศาลของท่านนั้นเป็นรองเพียงแค่พระพุทธเจ้าเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น อีกทั้งยังเทศนาธรรมก็ได้เสมอเหมือนพระพุทธองค์เอง

แต่การจะได้มาซึ่งตำแหน่งผู้มีปัญญามากนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะว่าจะได้มาอยู่ที่เบื้องขวาของพระพุทธเจ้า พระสารีบุตรต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารมาหลายภพหลายชาติ บำเพ็ญบารมีจนได้รับพุทธพยากรณ์ ครั้นได้รับพยากรณ์ว่าจักได้เป็นอัครสาวกเบื้องขวาแล้ว ท่านก็ยังต้องบำเพ็ญบารมีต่อไปอีกเป็นเวลายาวนานถึงหนึ่งอสงไขยกับอีกแสนมหากัป จนได้เป็นพระธรรมเสนาบดี ผู้เปี่ยมล้มด้วยปัญญาอันไม่อาจประมาณได้ในชาติสุดท้าย

ผู้ที่ทำอย่างนี้ได้นับว่าเป็นผู้ที่เสียสละและหาญกล้าอย่างหาที่สุดไม่ได้ ในฐานะผู้เรียนรู้พระธรรม การได้ศึกษาประวัติของพระมหาสาวกผู้เป็นเลิศอย่างพระสารีบุตรนั้นเป็นความรู้และกำลังใจที่สำคัญยิ่ง ยิ่งได้ศึกษาและเรียนรู้จริยวัตรและอุปนิสัยที่สง่างามองอาจเปี่ยมด้วยปัญญา ยิ่งเพิ่มพูนศรัทธาและน้อมนำมาซึ่งปัญญา และในกาลนี้ ข้าพเจ้าขอน้อมแด่พระสงฆ์อัครสาวกผู้นั้นด้วยเศียรเกล้า

นทธัญ แสงไชย



รีวิวโดยสำนักพิมพ์ : พระสารีบุตร

พระสารีบุตร

สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ปฏิบัติดีแล้ว สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ปฏิบัติตรงแล้ว สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ปฏิบัติเพื่อรู้ธรรมเป็นเครื่องออกจากทุกข์แล้ว สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ปฏิบัติสมควรแล้ว ได้แก่บุคคลเหล่านี้ คือ คู่แห่งบุรุษ 4 คู่ นับเรียงตัวบุรุษได้ 8 บุรุษ นั่นแหละ สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้ควรแก่สักการะที่เขานำมาบูชา เป็นผู้ควรแก่สักการะที่เขาจัดไว้ต้อนรับ เป็นผู้ควรรับทักษิณาทาน เป็นผู้ที่บุคคลทั่วไปควรทำอัญชลี เป็นเนื้อนาบุญของโลก ไม่มีเนื้อนาบุญอื่นยิ่งกว่า ดังนี้

เมื่อกล่าวถึงวัตรปฏิบัติ เห็นจะไม่มีพระสาวกรูปใดเคร่งครัดเท่าพระมหากัสสปะ ท่านยึดมั่นในการใช้ผ้าบังสุกุลจีวรที่เกลือกกลั้วด้วยฝุ่น เที่ยวบิณฑบาตโปรดสัตว์โลก ให้มีโอกาสได้สร้างกุศลกับพระอรหันต์ โดยมิได้เลือกว่าผู้ทำบุญจะอยู่ในชนชั้นใด นอกจากนี้ท่านยังบำเพ็ยภาวนาอยู่ในป่ามิได้ขาด ป่าดงรกชัฏหรือสัตว์น้อยใหญ่ไม่ถือว่าเป็นอุปสรรคในการกระทำความเพียรของท่านเลยแม้แต่น้อย

พระมหากัสสปะเป็นผู้ยินดีต่อความวิเวกสันโดษ ไม่ข้องเกี่ยวกับหมู่คณะ ประวัติของท่านจึงไม่เป็นที่รับรู้กันมากนัก ทว่าท่านได้สร้างคุณูปการที่ยิ่งใหญ่ต่อพุทธศาสนา ที่สำคัญคุณูปการดังกล่าวใช่ว่าจะคงอยู่ในชั่วระยะเวลาที่ท่านดำรงขันธ์เท่านั้น แม้สังขารของท่านล่วงลับไป แต่คุณความดีที่ท่านทำยังดำรงอยู่มานับร้อยนับพันปี พุทธศาสนิกชนทั่วทุกถิ่นฐานยังคงเล่าขานถึงเรื่องราวชีวิตและปฏิปทาอันแน่วแน่ของท่าน เพื่อเป็นแรงบันดาลใจในการเข้าถึงธรรม ดังที่พระมหากัสสปะได้ยึดถือมาโดยตลอด

รีวิว


5.0
5 (1)
  • 5
    100 %
  • 4
    0%
  • 3
    0%
  • 2
    0%
  • 1
    0%
เฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว