รายละเอียด : บันทึกจากปลายเท้า ฉบับปรับปรุง
บันทึกจากปลายเท้า
เมื่อฉันได้พบกับคนใหม่ๆ พวกเขามักยื่นมือออกมาจับมือกับฉัน แต่พวกเขากลับได้รับการตอบสนองเพียงแค่คำว่า "สวัสดีค่ะ" เท่านั้น บางคนจะรู้ทันทีว่าทำไม เขาจึงรีบหดมือกลับและทักทายฉันด้วยรอยยิ้มหรือสวนกอดแทน แต่ทว่าบางคนกลับรู้สึกอึดอัดใจ เพราะเขาไม่รู้ว่าจะเลี่ยงสถานการณ์นี้อย่างไร บางครั้งเมื่อเวลาผ่านไปหลายปี คนเหล่านั้นได้เข้ามาหาฉันและถามว่าจำเขาได้ไหม เมื่อครั้งแรกที่พบกัน เขาแสดงความไม่เอาไหนด้วยการทักทายฉันในลักษณะที่ไม่เหมาะสม แต่โชคดีที่ฉันจำไม่ค่อยได้ฉันทักทายผู้คนด้วยคำพูดเท่านั้น เพราะฉันไม่มีมือ ผู้คนมีท่าทีต่อความพิการของฉันแตกต่างกันไป ไม่กี่ปีมานี้สตรีผู้หนึ่งซึ่งเกษียณแล้วได้ให้เงินจำนวนเล็กน้อยแก่ฉัน เพราะเธอสงสารฉัน
ตอนที่ฉันยังเป็นเด็ก เมื่อครอบครัวของฉันไปกินอาหารที่ภัตตาคารวิธีของฉันทำให้เด็กซึ่งนั่งโต๊ะข้างๆ หันมามองด้วยความสนใจ พวกเขาเลียนแบบฉันด้วยการหดมือเข้าไปซ่อนไว้ในเสื้อ ยกเท้าข้างหนึ่งวางบนโต๊ะและใช้เท้านั้นหยิบอาหารเข้าปากเหมือนที่ฉันทำ ฉันรู้สึกขำมาก ขณะที่พ่อแม่ของพวกเขากลับรู้สึกอาย อย่างไรก็ตาม การที่ฉันไม่มีแขนไม่มีมือทำให้ฉันไม่เคยทำถุงมือหรือแหวนหาย เมื่อครั้งยังเป็นเด็ก ฉันไปที่บ้านของเพื่อนหลังจากโรงเรียนเลิกพอพ่อมารับ ฉันจะสวมหมวก สวมเสื้อกันหนาวและรองเท้า ในเวลาเดียวกันแม่บ้านก็กำลังวุ่นวายหาถุงมือของฉัน
"เธอไม่ต้องใช้ถุงมือ" พ่อของฉันบอก แม่บ้านบอกว่า "เธอจำเป็นต้องใช้มันนะ เพราะอากาศหนาวมาก" ในที่สุดแม่บ้านก็เข้าใจ "โอ เธออาจไม่ต้องใช้มันก็ได้" เมื่อขึ้น ป.6 ทางโรงเรียนได้จัดผู้ช่วยไว้ให้ฉันคนหนึ่ง เธอเป็นคนใจดีมาก เธอซื้อของขวัญวันคริสต์มาสให้ฉันด้วย แต่ก่อนจะถึงวันคริสต์มาสเธอก็รู้ตัวว่าได้ทำผิดพลาดครั้งใหญ่ เพราะได้ซื้อแหวนให้ฉันเป็นของขวัญเธอจึงรีบกลับไปที่ร้านและเปลี่ยนเป็นสร้อยคอแทน ฉันจำได้ว่าบางครั้งฉันใส่สร้อยข้อเท้าเป็นเรื่องแปลกมาก เพื่อนๆ ที่โรงเรียนถามฉันว่าทำไมจึงใส่สร้อยที่ข้อเท้าแทนที่จะใส่ที่ข้อมือ ฉันบอกเพื่อนว่ามันใส่ยากเพื่อนๆ ฟังคำตอบแล้วก็หน้าแดง ฉันรู้สึกว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องสนุก ฉันรู้สึกสนุกที่คนอื่นทำผิดเล็กๆ น้อยๆ ต่อฉัน ไม่ใช่เพราะฉันต้องการให้เขาอาย แต่เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าฉันเป็นคนพิการ เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ที่คนซึ่งฉันเกี่ยวข้องด้วยมักเห็นความพิการของฉันแบบเดียวที่ฉันเห็น
ในหนังสือเล่มนี้ฉันจะเล่าเรื่องราวชีวิตของฉันและสิ่ง่ที่ทำให้ฉันเป็นอย่างทุกวันนี้ แม้ฉันจะอายุยังไม่ครบ 30 ปี แต่ฉันมีประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นคงไม่มีใครคาดคิดว่าคนที่เกิดมาพิการอย่างฉันจะมีประสบการณ์เช่นนี้ได้แน่นอนว่าความพิการมีอิทธิพลต่อชีวิตของฉัน แต่ไม่ใช่เพียงเท่านั้น ฉันยังได้รับอิทธิพลจากดนตรี การร้องเพลง และสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับดนตรี ความสำเร็จในฐานะนักกีฬาว่ายน้ำก็มีอิทธิพลต่อฉัน รวมทั้งครอบครัวของฉัน เพื่อนๆ และความเชื่อในพระเจ้า สิ่งต่างๆ เหล่านี้แหละที่ฉันอยากเล่าให้ฟัง การเขียนหนังสือค่อนข้างเป็นประสบการณ์ใหม่สำหรับฉัน ฉันคงเขียนไม่ได้หากไม่ได้รับความอนุเคราะห์จากคุณอิงเงอร์ ลุนดิน ฉันจึงถือโอกาสกล่าวขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ ฉันคิดว่าการเขียนอัตชีวประวัติเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะอวดตัว ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องจริงก็ตาม หนังสือเล่มนี้เป็นเพียงบันทึกสั้นๆ ของฉันและข้อคิดเกี่ยวกับชีวิตเท่าที่ฉันมี มันคือเรื่องราวที่บันทึกจากปลายเท้าของฉัน
สารบัญ : บันทึกจากปลายเท้า ฉบับปรับปรุง
บันทึกจากปลายเท้า
- อ้อมแขนของพ่อกับแม่
- ใช้เท้าจับขวดนม
- ครอบครัวที่อบอุ่น
- ขาปลอมและไม้ตะขอ
- ไปโรงเรียน
- ความเชื่อมั่น
- เหมือนปลาในน้ำ
- มุ่งสู่โอลิมปิก
- โลกของเสียงเพลง
- ฉันคือ เลนา มาเรีย
- เป้าหมายชีวิตของฉัน
- ชีวิตในอินเดีย
- ฉันรักประเทศญี่ปุ่น
เนื้อหาปกหลัง : บันทึกจากปลายเท้า ฉบับปรับปรุง
บันทึกจากปลายเท้า
แบบอย่างของชีวิตที่เต็มเปี่ยมด้วยพลังใจอันเข้มแข็ง นี่คือข้อคิดส่วนหนึงของเลนา มาเรีย คลิงวัลล์ นักร้องชื่อดังชาวสวีเดนที่มีผลงานหลายอัลบัม นักกีฬาว่ายน้ำเจ้าของเหรียญรางวัลมากมาย ทั้งๆที่เธอไม่มีแขนทั้ง 2 ข้าง และมีขาซ้ายเพียงครึ่งหนึ่งของขาขวามาตั้งแต่เกิด บันทึกที่เธอเขียนด้วยปลายเท้านี้ บอกเล่าเรื่องราวและประสบการณ์ในชีวิต บางเรื่องตื่นเต้น บางเรื่องคุณอาจคิดไม่ถึง คุณจะได้สัมผัสกับความเชื่อมั่น กำลังใจ และพลังอันยิ่งใหญ่ของการมีชีวิตอยู่ แม่จะมีไม่เท่าคนอื่นก็ตาม "ฉันไม่เคยคิดถึงความพิการของตัวเองในแง่ลบ ฉันมักคิดว่าฉันก็เป็นเหมือนคนอื่นๆ เพียงแต่ทำบางสิ่งบางอย่างที่ต่างไปจากคนอื่นบ้าง
รีวิวโดยสำนักพิมพ์ : บันทึกจากปลายเท้า ฉบับปรับปรุง
บันทึกจากปลายเท้า
คนเรามักรู้สึกท้อแท้อันเนื่องมาจาก ความพลาดหวัง ล้มเหลว พ่ายแพ้ ที่สำคัญคือ มักเปรียบเทียบความล้มเหลวพ่ายแพ้นั้น กับความสำเร็จของคนอื่น ซึ่งทำให้ตนเองหมดกำลังใจ น่าแปลกที่เลนา มาเรีย ไม่เคยรู้สึกเช่นนั้นเลย เหมือนกับว่าเธอไม่เคย แม้แต่สักนิดที่จะรู้จักกับคำคำนี้ ทั้งๆที่เธอผู้เกิดมาพร้อมกับร่างกายซึ่ง ผิดปกติควรจะรู้สึกเช่นนี้ยิ่งกว่าใคร ว่ากันว่าคนพิการมักได้รับพรสวรรค์พิเศษเป็นการตอบแทน เลนา มาเรีย อาจเป็นนักร้องผู้โด่งดัง คนปกติอาจทำไม่ได้เท่าเธอ แต่ถ้าได้อ่าน "บันทึกจากปลายเท้า" เล่มนี้ คุณจะรู้ทันทีว่าสิ่งสำคัญ ยิ่งกว่าพรสวรรค์ก็คือมุมมองชีวิตที่เป็นพลังล้ำค่าในใจ เลนา มาเรีย ไม่เคย รู้สึกว่าตนผิดปกติ เธอจึงทำทุกอย่างเป็นธรรมชาติ เธอทำเพราะอยากทำ เธอทำเพราะรู้ว่าเธอทำได้ เลนา มาเรีย มิใช่ตำนาน เธอเป็นหญิงแกร่งที่อยู่ร่วมสมัยกับเรา และ เป็นหลักคิดให้ผู้กำลังท้อแท้ทุกคน ใครที่ได้อ่าน "บันทึกจากปลายเท้า" แล้วจะรักเธอ เอาใจช่วยเธอ และ ที่สุดอยากเป็นให้ได้อย่างเธอ นั่นคือกำลังใจเสมอในทุกจังหวะชีวิต และ นี่คืออีกหนึ่งความสวยงามของชีวิตที่เราขอนำเสนอต่อผู้อ่านทุกท่าน