รายละเอียด : A Long Way Home 71 วัน ปลายทางคือบ้านระหว่างทางคือเรา
A Long Way Home 71 วัน ปลายทางคือบ้านระหว่างทางคือเรา
"เรานั่งรถไฟกลับบ้านกันไหม?" โบ๊ทถามขณะที่เรากำลังวางแผนเที่ยวหลังเรียนจบปริญญาโท ฉันคงไม่แปลกใจเท่าไหร่ ถ้าตอนนี้เราทั้งคู่อยู่ในที่ที่สามารถนั่งรถไฟสักคืนหนึ่งอย่างเชียงใหม่-กรุงเทพฯ แล้วกลับถึงบ้านได้ แต่นี่เราอยู่ที่เมืองน็อตติงแฮมประเทศอังกฤษ ห่างจากบ้านที่กรุงเทพฯ ตั้งหลายพันหลายหมื่นกิโลเมตร ขนาดนั่งเครื่องบินซึ่งเป็นวิธีที่เร็วที่สุดยังใช้เวลาตั้ง 12 ชั่วโมงเลย แล้วจะให้นั่งรถไฟกลับบ้านเนี่ยนะ มันจะเป็นไปได้ยังไง? แล้วต้องใช้เวลาไหร่กัน?
เดี๋ยวก่อนนะ ถ้าจะนั่งรถไฟจากอังกฤษกลับกรุงเทพฯ จริงๆ กว่าจะถึงบ้านพวกเราจะต้องผ่านกี่ประเทศกันเนี่ย? ยุโรป รัสเซีย มองโกเลีย จีน นี่ถ้าฉันได้ดูพระอาทิตย์ตกบนหอไอเฟลที่ปารีส เดินเที่ยวจัตุรัสแดงที่มอสโก นั่งรถไฟสายทรานส์-ไซบีเรีย ขี่อูฐที่ทะเลทรายโกบี แล้วไปกินเป็ดย่างต่อที่ปักกิ่งในการเดินทางทริปเดียวนั้นมันจะสนุกขนาดไหน แค่คิดก็ใจเต้นแรงอยากพาตัวเองไปอยู่ตรงนั้นเลย แต่จะออกเดินทางสองคนกับแฟนที่เพิ่งคบกันได้ไม่ถึงปีบนเส้นทางแปลกประหลาดที่ไม่ค่อยจะมีคนไปมันจะอันตรายเกินไปไหมนะ? ที่บ้านจะเป็นห่วงรีเปล่า? ถ้าเกิดฉันทะเลาะกับโบ๊ทระหว่างทางแล้วจะยังได้นั่งรถไฟจนถึงบ้านไหม?
คำถามมากมายผุดเข้ามาในหัว ความกลัวมีมากพอๆ กับความตื่นเต้นเอายังไงดีนะ? แต่จะมีสักกี่ครั้งในชีวิตที่ฉันจะได้ผจญภัยในโลกกว้าง ได้เดินทางอย่างอิสระ ได้รู้จักกับคนแปลกหน้าต่างวัฒนธรรม ได้ไปอยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันยิ่งใหญ่และที่สำคัญคือการได้เรียนรู้ใครสักคน
"เรานั่งรถไฟกลับบ้านกันไหม?" ผมถามฝ้ายขณะที่เรากำลังวางแผนชีวิตหลังเรียนจบปริญญาโท ผมแปลกใจตัวเองเหมือนกันที่ถามฝ้ายออกไปแบบนั้นถึงผมจะเป็นคนชอบเที่ยวและรักการผจญภัย แต่ก็ไม่เคยวางแผนอะไรที่ดูบ้าบิ่นขนาดนี้ แต่นี่คือการนั่งรถไฟกลับบ้านผ่านทางรถไฟสายทรานส์-ไซบีเรีย แค่คิดก็เท่ชะมัด หนึ่งเดือน สองเดือน หรือมากกว่านั้น? จะมีผู้หญิงคนไหนอยากเดินทางนั่งรถไฟข้ามทวีปลำบากๆ กับผมทั้งที่มีตัวเลือกที่ง่ายกว่านั้นมาก ผมกลัวคำตอบฝ้าย ถ้าฝ้ายตอบตกลง ผมจะมีเวลาในการศึกษาชีวิตคู่ของเราตลอดการเดินทาง แต่ถ้าฝ้ายตอบปฏิเสธผมคงต้องพับแผนการผจญภัยนี้ไว้บนหิ้ง และอาจจะไม่ได้รื้อแผนบ้าๆ นี้มาทำให้กลายเป็นความจริง การเดินทางครั้งนี้จะเกิดขึ้นหรือไม่ขึ้นอยุ่กับคำตอบของฝ้าย "เรานั่งรถไฟกลับบ้านกันไหม?" ผมถาม "เอาสิ" ฝ้ายตอบผมกลับมาแทนจะทันที และการนั่งรถไฟกลับบ้านที่กินเวลานาน 71 วัน 13 ประเทศของพวกเราก็เริ่มต้นขึ้น อย่างไม่ทันตั้งตัว
สารบัญ : A Long Way Home 71 วัน ปลายทางคือบ้านระหว่างทางคือเรา
เนื้อหาปกหลัง : A Long Way Home 71 วัน ปลายทางคือบ้านระหว่างทางคือเรา
A Long Way Home 71 วัน ปลายทางคือบ้านระหว่างทางคือเรา
71 วัน + 13 ประเทศ = 2 คน คู่รักธรรมดาๆ คู่หนึ่งที่ได้ไปเรียนต่อประเทศอังกฤษเหมือนนักเรียนทั่วไปที่ต้องเหน็ดเหนื่อยกับหน้าที่นานมาจนถึงวันที่เรียนจบ นานจนไม่รู้ว่าเรื่องระหว่างเรายังปกติกันอยู่ไหม และแล้ว "เขา" ลองชวน "เธอ" กลับบ้านด้วยการนั่งรถไฟจากอังกฤษสู่ประเทศไทย โดยไม่ได้ต้องการสร้างสถิติใดๆ นอกจากได้มีโอกาสใช้เวลากับคนที่เขารักในแง่มุมที่แตกต่าง แม้ทางรถไฟสายทรานส์-ไซบีเรียจะไม่ใช่เรื่องใหม่ของนักเดินทางแต่เป็นเส้นทางที่ทำให้ทั้งคู่ได้สัมผัสกับมิตรภาพจากเพื่อนร่วมโลก ได้พบเจอดินแดนที่ใหญ่กว่านิยามของหนังสือได้ค้นพบสิ่งดีๆ จากตัวตนของอีกฝ่ายโดยไม่คาดฝัน และสำคัญที่สุดคือได้ค้นพบว่า เรื่องระหว่างเรานั้นยังเหมือนเดิม
รีวิวโดยสำนักพิมพ์ : A Long Way Home 71 วัน ปลายทางคือบ้านระหว่างทางคือเรา
A Long Way Home 71 วัน ปลายทางคือบ้านระหว่างทางคือเรา
เมื่อปลายปีที่แล้วผมได้รับของขวัญเป็นซองหนังสีน้ำตาลชิ้นหนึ่งจากคนสองคน มันคือซองไว้ใส่ป้ายชื่อบนกระเป๋าเดินทาง ข้างหลังพิมพ์ตัวอักษรว่า Pakaprich เป็นการนำพยางค์จากชื่อต้นของพวกเขามาผสมกัน ภควัต และ ปริชญา ทั้งสองคนเป็นคู่รักนักเดินทางที่ผมได้รู้จักผ่านตัวหนังสือในเว็บไซต์ และแฟนเพจของพวกเขาที่ผู้ติดตามอ่านรู้จักกันดีในชื่อ โบ๊ท และ ฝ้าย ทั้งคู่เป็นนักศึกษาปริญญาโทจากประเทศอังกฤษที่คิดวิธีกลับบ้านไม่เหมือนใครด้วยการชวนกันแบกกระเป๋านั่งรถไฟจากอังกฤษสู่เมืองไทย แวะผจญภัยในดินแดนของประเทศที่ไม่คุ้นเคย ระยะทางเกือบหมื่นกิโลเมตรทำให้พวกเขาได้เรียนรู้โลกภายนอกและภายในใจตนเองไปพร้อมกัน
ที่น่าสนใจคือทั้งสองคนเพิ่งจะคบหากันในฐานะคนรักได้ไม่นานนัก ก่อนที่จะตัดสินใจเดินทางไกลด้วยกันซึ่งเป็นเรื่องที่สุ่มเสี่ยงมาก คล้ายการเอาความสัมพันธ์มาทดสอบด้วยทริปหฤโหดไม่ใช่เรื่องง่ายแน่นอน สำหรับคู่รักไม่ว่าจะเป็นคู่ไหนบนโลกนี้ก็ตาม แต่พวกเขาก็ทำสำเร็จโดยที่ยังจับมือกันและกันไว้ ผมคิดว่านอกจากความรัก ทั้งโบ๊ทและฝ้ายเหมือนกันตรงที่มีหัวใจของนักเดินทางที่เปิดกว้างและพร้อมจะเรียนรู้กันและกันอย่างลึกซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างเหมือนกันแค่ไหน หนังสือเล่มนี้จึงไม่ใช่ทริปของคู่รักหวานแหววคู่หนึ่งทั่วๆ ไปแต่เป็นเรื่องราวของมิตรภาพ เพื่อนร่วมทางที่ถูกสร้างจากพื้นฐานของความรัก ในการเดินทางอย่างเข้มข้นและโรแมนติกในเวลาเดียวกัน
ซองหนังสีน้ำตาลที่ผมได้รับเป็นของขวัญยืนยันว่าพวกเขายังอยากร่วมเดินทางกันต่อไปอีก เป็นเส้นทางที่ต้องใช้เวลาที่ยาวนานรอนแรมไปด้วยกัน นั่นคือทริปที่เรียกว่า "ชีวิตคู่" จะมีอะไรที่ดีไปกว่าการได้ท่องโลกกว้าง และตื่นเช้าขึ้นมาพบหน้าคนที่เรารักไปชั่วชีวิต จริงไหมครับ
จีระวุฒิ เขียวมณี บรรณาธิการ