รายละเอียด : เมื่อรักนำทาง
ทิมเด็กหนุ่มตาบอดที่กำพร้าพ่อและแม่แต่เด็กได้มาเจอกับเหมชายผู้ที่เฝ้ารอเด็กหนุ่มที่เค้ารักแต่เด็ก ทั้งคู่ต้องมาใช้ชีวิตร่วมกัน จะเป็นยังไงเมื่อทั้งคู่ก็ต่างหวั่นไหวซึ่งกันและกัน
ทำไมหนักจัง ผมรู้สึกว่าเช้าวันนี้ผมเหมือนโดนอะไรทับอยู่ ผมค่อย ๆ คลำดูก็พบว่าเป็นแขนกับขาของคนที่กำลังพาดลงบนตัวผม
“พะพี่เหมครับผมหนัก” ผมเขย่าปลุกพี่เค้า นี่มันอะไรกันครับปกติจะมีหมอนกั้นเอาไว้แต่ไหง กลายเป็นอย่างงี้ไปได้
“อือ ขออีกนิดนะครับ” พี่เหมไม่ว่าเปล่าดึงผมเข้าไปชิดยิ่งกว่าเดิม จนผมรู้สึกได้ถึงลมหายใจที่รดต้นคอผมอยู่
“บะ แบบนี้มันไม่ถูกต้องนะครับ พี่เหมเป็นอะไรของพี่เนี๊ยะ” ผมถาม
“อย่าดิ้นซิครับ พี่ขออีก 10 นาทีนะ” พี่เหมไม่ฟังผมเลย ผมจนใจจะต่อสู้ละ เลยปล่อยให้พี่เหมกอดผมอยู่แบบนั้น ผมไม่เข้าใจเค้าเลยจริง ๆ
“เกิน 10 นาทีแล้วนะครับพอได้แล้วผมมีสอนเช้านะครับวันนี้” ผมบอกกับพี่เค้า พี่เหมยอมปล่อยผม ก่อนจะลุกจากเตียงไป ผมจึงได้โอกาสลุกขึ้นทำธุระส่วนตัวกินข้าวมี่พี่เหมเตรียมไว้ให้ก่อนจะออกไปสอนตามปกติ
“เดี๋ยวเย็นนี้พี่ไปรับนะครับ” พี่เหมลูบหัวผมเบา ๆ หลังจากที่จอดรถแล้วมาส่งผมที่โรงเรียนสอนดนตรี
“ครับ” ผมพยักหน้าบอก ก่อนจะแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเอง
“ไหวหรอค่ะน้องทิม” พี่อายถามผม ซึ่งเรื่องนี้ผมเถียงกับพี่เหมเมื่อเช้าไปรอบหนึ่งแล้ว
“ไม่เป็นไรหรอกครับแค่แผลถลอกนิดเดียวเอง สบายมากครับดูซิผมขยับได้ปกติเลย” ผมบอก เหตุการณ์เมื่อวานทำเอาผมรู้สึกแย่เหมือนกันเพราะผมคิดว่าตัวเองหายกลัวแล้วซะอีกแต่พอได้ยินมันอีกครั้งกลับทำเอาผมใจสั่นตัวสั่นกลัวขึ้นมาอีกครั้ง ไม่อยากให้ใครมาอยู่ใกล้หรือแตะตัวเลย โชคดีที่พี่เหมมาหาผม ผมจึงรู้สึกสบายใจเมื่อได้อยู่ใกล้พี่เค้า ผมก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมผมถึงได้กลัวขนาดนั้น นึกยังไงก็นึกไม่ออก คิดไปก็มีแต่จะปวดหัว ผมสะบัดไล่ความคิดเรื่องเมื่อวานออกให้หมดก่อนจะเข้าไปสอนเปียโนให้น้อง ๆ
“ที่นี่ที่ไหนหรอครับพี่เหม” ผมถามเมื่อพี่เหมมารับผมตอนเย็นแล้วพามาที่แห่งหนึ่งซึ่งผมไม่รู้ว่าที่ไหน กลิ่นไม่คุ้นเคยเลย
“ข้างหน้าเป็นบันไดนะครับ” พี่เหมจับมือผมไว้ให้เดินตามไม่ยอมบอกผมสักที ผมก็เดินตามด้วยความจำเป็น