Quick View
รีวิว : จรูญจรัสรัศมีพราว พร่างพร้อย
จรูญจรัสรัศมีพราว พร่างพร้อยด้วยความที่เป็นคนที่ไม่มีหัวทางวิชาสายคณิต-วิทย์เอาเสียเลย ขนาดตอน ม.ปลาย เรียนวิทย์ กายภาพ ที่หลายๆ คนว่าเป็นวิทย์แบบปัญญาอ่อนก็แล้ว ก็ยังไม่วายต้องสอบซ่อมทุกครั้งไป ก็เราเป็นคนไม่คิดที่จะยึดเอาศาสตร์ด้านนี้เป็นสรณะในการดำเนินชีวิตนี่นา ดังนั้นระหว่างวิชาเรียนพวกนี้ เราจึงมักจะเนรเทศตัวเองออกไปสู่โลกของศิลปะและวรรณกรรม (แอบอ่านนิยายในห้องเรียนนั่นเอง) บ่อยครั้งมักจะไปพูดคุยกับตัวละครของ ว.วินิจฉัยกุล บ้าง ทำความรู้จักกับพระเอกผู้มีอุดมการณ์ของศรีบูรพาบ้าง อ่านงานวรรณกรรมแทบทุกชนิด ยกเว้นก็แต่ วรรณกรรมแนววิทยาศาสตร์ สมัยเด็กเคยอ่านงานแปลของ ไอแซค อาซิมอฟ เหนื่อยมาก และไม่ค่อยจะรู้สึกถึงความบันเทิงสักเท่าไรนัก ก็เลยหลีกเลี่ยงงานแนวไซไฟมาตลอด เพราะรู้สึกว่าไม่ค่อยจะถูกกัน แต่เมื่อสองอาทิตย์ที่แล้วนี้เอง มีคนยื่นรวมเรื่องสั้นแนวไซไฟมาให้อ่าน นั่นคือ "จรูญจรัสรัศมีพราว พร่างพร้อย" ของ วินทร์ เลียววาริณ ตอนแรกว่าจะไม่อ่านด้วยเหตุผลข้างต้น เพราะเคยเลี่ยง เดือนช่วงดวงเด่นฟ้า ดาดาว มาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ครั้งนี้ ความชอบในตัววินทร์ในใจเรามันเพิ่มขึ้นกว่าเมื่อก่อน จาก ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน และ สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน ทำให้รวมเรื่องสั้นแนวไซไฟนี้มันยั่วน้ำลายเราเสียเหลือเกิน พอได้อ่านแล้วก็ไม่ผิดหวังจริงๆ วินทร์ก็ยังคงเป็นวินทร์ที่มักจะคิดอะไรได้คมคายเสมอเริ่มจากเรื่องแรก "คนเสเพล" ที่เสนอภาพการทำลายดวงดาวเพราะความเห็นแก่ตัวของมนุษย์กลุ่มหนึ่ง เพียงเพื่อหวังจะสร้างผลกำไรให้กับตัวเอง"ผีเสื้อกับดอกไม้ไฟ" ที่สะท้อนภาพความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในใจมนุษย์อันเนื่องมาจากสงคราม และสงครามที่ไม่เคยให้สิ่งดีๆ แก่ใครเลยและผนวกเข้ากับแนวคิการทำลายกับระเบิดด้วยแบคทีเรีย"ครรภ์ปริศนา" เล่าเรื่องราวเล่ห์เหลี่ยมทางการเมืองของนักการเมืองในโลกอนาคตที่เลวร้าย ไม่ต่างจากนักการเมืองในโลกปัจจุบัน รัฐมนตรีตงฉินคนหนึ่งต้องถูกใส่ร้ายว่าได้ร่วมหลับนอนกับลูกสาวของตนจนตั้งครรภ์ ด้วยฝีมือของคนกลุ่มหนึ่งที่หวังจะให้รัฐมนตรีคนนี้หลุดจากตำแหน่ง"ของฝากข้ามฟากฟ้า" ที่ใช้การเล่าเรื่องแบบธรรมด๊าธรรมดา แต่นำมาผูกโยงกับความเชื่อของนักดาราศาสตร์ว่าในจักรวาลอันกว้างใหญ่มีบางจุดที่เชื่อมถึงกัน ทำให้ของสิ่งของต่างๆ หลุดหายแล้วไปโผล่ที่อีกฝั่งหนึ่งของจักรวาล แต่เรื่องราวก็ไม่พ้นความไร้ความรับผิดชอบของคน จนเรื่องบานปลาย"เกมพระพรหม" ที่บอกเรื่องราวความดำมืดในจิตใจคนในการช่วงชิงชื่อเสียงในการเป็น เจ้าของผลงานสิ่งประดิษฐ์ชิ้นสำคัญ จนทำให้มิตรภาพของเพื่อนรักทั้งสองคนต้องขาดสะบั้น"ในห้วงมืด" ที่สะท้อนคำพูด "จุดประสงค์เดียวของความคงอยู่ของมนุษยชาติ คือการจุดไฟใน ความมืดมนของความคงอยู่นั้น" ของ คาร์ล ยุงก์ ด้วยการเล่าเรื่องด้วยภาพแบบการ์ตูนช่อง เริ่มจากภาพยานอวกาศลอยอยู่ในอวกาศที่มืดมิด ต่อมาก็มีมนุษย์ลอยออกมาจากยาน ภาพต่อๆ มา ก็ปรากฏข้อความที่เราสามารถเห็นได้ตามกำแพงโรงเรียนและห้องน้ำสาธารณะ ถือเป็นการใช้ภาพเล่าเรื่องสะท้อนแนวคิดอภิปรัชญาได้อย่างมีอารมณ์ขันและคมคาย"สงครายูโรปา" เรื่องราวความรักระหว่างสงครามดวงดาว และความละโมภโลภมากของคนที่อยากแต่จะครอบครองดินแดนของคนอื่นเพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ ส่งผลให้เกิดการฆ่าฟันกันไม่มีที่สิ้นสุด"บริโภคนิยม" ที่มุ่งเสนอการเสียดสีประชดประชันถึงกระแสบริโภคนิยมที่มุ่งแต่จะโฆษณาขายสินค้าโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใด ด้วยความที่วินทร์เคยทำงานอยู่ในวงการโฆษณามาหลายปี คงทำให้เขาเข้าใจสงครามมาร์เกตติ้งเป็นอย่างดี จนเขียนเรื่องแนวเหนือจริงและประชดประชันได้อย่างมีอารมณ์ขันแบบหาตัวจับยากได้เช่นเรื่องนี้"นิทานหิ่งห้อย" ดำเนินเรื่องแบบนิทานประกอบภาพสำหรับเด็กที่เล่าเรื่องการค้นหาพลังงานใหม่ การดึงพลังงานจากดวงดาวบนท้องฟ้า จนทำให้ดวงดาวเหล่านั้นดับแสงไปทีละดวง จนในที่สุดท้องฟ้าก็เหลือเพียงความมืดมิด การเล่าเรื่องด้วยภาพประกอบคำพูดไม่กี่ประโยค แต่เหตุใดมันจึงส่งพลังและเศร้าสร้อยเสียเหลือเกิน"จรูญจรัสรัศมีพราว พร่างพร้อย" เนื้อเรื่องพระอภัยมณีที่ถูกนำมาดัดแปลงในแบบฉบับของ วินทร์ แสดงถึงความชื่นชมในตัวครูกวีสุนทรภู่ของวินทร์ และหากจะว่ากันไปแล้ว สุนทรภู่ก็ถือเป็นผู้ริเริ่มผลงานแนววิทยาศาสตร์แบบแฟนตาซี เช่นเรื่อง พระอภัยมณี ทำให้เราเห็นความตั้งใจของวินทร์ในการจะนำเอาการเขียนเชิงวิทยาศาสตร์ ที่เราๆ เข้าใจว่า เป็นอิทธิพลจากตะวันตก ให้กลายเป็นเรื่องแบบไทยๆ มากยิ่งขึ้นหลังจากอ่านจบหมดทั้งเล่ม จุดๆหนึ่งที่ผมสังเกตได้คือ งานของวินทร์เล่มนี้ยังมิใช่งานแนววิทยาศาสตร์แท้แบบฝรั่ง เพราะจุดเด่นของงานในแต่ละเรื่อง มักจะเป็นการนำเอามุมมองเล็กๆ ทางวิทยาศาสตร์เข้ามาผสมผสานกับพล็อตเรื่องแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสังคม แนวสืบสวน สอบสวน ผจญภัย นี่กระมังที่ทำให้ผมอ่านมันได้อย่างเพลิดเพลิน และไม่หนักจนเกินไป นับเป็นการผนวกเอาจินตนาการ ความเป็นจริงในสังคม และหลักวิทยาศาสตร์มาร้อยเรียง เข้าด้วยกันอย่างสวยงาม อ่านแล้วได้ทั้งความบันเทิง และความรู้ที่จะมาเปิดโลกทัศน์ใหม่ๆ ให้กับคนที่ห่างไกลจากวิทยาศาสตร์อย่างผมเสียจริงๆ
< กลับสู่หน้าบุ๊คเมทรีวิว