คุณเคยมีประสบการณ์แบบนี้บ้างไหมครับ?เวลาที่เดินเข้าไปในร้านอาหาร หรือร้านกาแฟ ที่คุณไปเป็นประจำ แล้วพนักงานทักว่า “เมนูเดิมใช่ไหม?”.ถ้าถามว่าคุณมีความรู้สึกอย่างไร ที่พนักงานจำได้ แน่นอนว่าต้องรู้สึกดี..ถูกไหมครับ?.“Personalized Marketing” หรือ “การตลาดแบบรู้ใจ”ก็มีลักษณะคล้ายๆ แบบนั้น...เพียงแต่ในยุค 5.0 เราไม่จำเป็นต้องไปใช้บริการใด บริการหนึ่งเป็นประจำ เพื่อให้พนักงานจำเราได้ เราแค่กดคลิกเข้าไปซื้อของออนไลน์ เพียงครั้งสองครั้งมันก็จำเราได้แล้ว เพราะข้อมูลของเราถูกเก็บไว้ผ่าน AI ที่มีระบบ Machine Learning และการประมวลผลต่างๆร่วมกับตัว Big Data ทำให้มันสามารถคำนวณตัวรูปแบบของการนำเสนอโปรโมชั่น , ข้อความ , ตัวโฆษณา และสินค้า ที่เราน่าจะถูกใจโดยเฉพาะได้ (ต้องมีคน Set ไว้หลายๆ Scenario).เนื่องจากผู้บริโภคในทุกๆ วันนี้ อยู่ในยุคแห่งการที่ใครๆ ก็สามารถทำสื่อฯ สร้างคอนเท้นต์เองได้ ..เวลาที่พวกเขาใช้เสพย์ นั้นมีจำกัดเมื่อเทียบกับปริมาณสื่อต่างๆ (ยังไม่นับโฆษณา) ที่ล้นหลามกลยุทธ์ หรือแนวคิด “Personalized Marketing การตลาดแบบรู้ใจ”จึงเข้ามาตอบโจทย์ตรงนี้ เพราะสามารถเปลี่ยนจาก Mass Marketing สู่ Me Marketing คัดสรรแต่ตัวโฆษณาที่ลูกค้าคนนั้นน่าจะสนใจจริงๆ.ในหนังสือ “Personalized Marketing การตลาดแบบรู้ใจ”โดย คุณณัฐพล ม่วงทำ เจ้าของเพจกาารตลาดวันละตอนล่าสุดมีการปรับเพิ่มเนื้อหา ทำให้อ่านเข้าใจง่ายขึ้นมีตัวกราฟฟิค รูปภาพประกอบคำอธิบาย และในแต่ละบทจะกล่าวถึง Case Study จากแบรนด์ต่างๆ ที่สามารถเอามาปรับใช้เป็นแนวทางและไอเดีย ในการทำการตลาดได้และนั่นก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ หนังสือเล่มนี้เป็นเหมือนคลังวัตถุดิบชั้นดีที่คู่ควรแก่การเก็บ

วัยเรียน วัยนักศึกษา และ วัยทำงาน...ล้วนเป็น 3 ช่วงชีวิตแห่งความทรงจำอันแสนทรงพลัง ที่หล่อหลอมความเป็นตัวตน ทำให้เราเป็นเรา อย่างในทุกๆวันนี้ได้.กลับมาอีกครั้ง กับหนังสือของคุณคิดมาก ในเล่มที่ชื่อว่า เราเติบโตขึ้นในทุกๆ วัน...หากใครได้อ่าน จะต้องมีความคิด นึกย้อนถึงตัวเองมองกลับไปในอดีตที่ผ่านมา ของแต่ละช่วงชีวิตทั้งในการเรียนแต่ละช่วงวัย ผู้คนที่พบเจอเกิดประสบการณ์ที่ดีและไม่ดี นอกจากจะทำให้เราได้คิดถึง ทวทวนเรื่องราวเกี่ยวกับมันแล้ว เรายังรู้ด้วยว่า ผ่านเหตุการณ์นั้นมาได้อย่างไรข้อคิด/วิธี ที่เรารับมือในตอนนั้น ได้ผลมากน้อยแค่ไหน.ตัวอย่างข้อคิดวัยเรียน เช่นหัวใจของการบ้าน คือ การทบทวนสิ่งที่ผ่านไปแล้ว            ในตอนเด็ก เราทบทวนสิ่งที่รู้ แต่ตอนนี้             การบ้านอาจทำให้เราเข้าใจชีวิตได้มากขึ้น.ตัวอย่างข้อคิดวัยนักศึกษา เช่นเมื่อเราเรียนจบ ไม่ใช่ทุกที่ ที่จะสอนงานเรา            ซึ่งเราสามารถเรียนรู้งาน เรียนรู้ชีวิต เรียนรู้ผู้คน            จากการสังเกตของเราเองได้.ตัวอย่างข้อคิดวัยทำงาน เช่นอย่าให้ค่านิยมในสังคม มากำหนดชีวิตเรา            บางคนอาจเหมาะกับการเป็นมนุษย์เงินเดือน            บางคนอาจเหมาะกับการทำงานอิสระมากกว่า.พบกับ “เราเติบโตขึ้นในทุกๆ วัน” หนังสือที่อ่านแล้วรู้สึกได้กำลังใจและชวนให้คิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาในอดีต ..จะสุขบ้าง ทุกข์บ้าง ปะปนกันไปแต่ก็มีรอยยิ้มอยู่ในความทรงจำเหล่านั้นเสมอ...เล่มบางๆ ที่ใช้เวลาอ่านเพียงแค่ชั่วครู่แต่กลับทำให้รู้สึกดี ได้ไปอีกนานแสนนาน…

ผลงานฝีมือการเขียนของโร่วเปาปู้ชือโร่ว (rou bao bu chi rou) นิยายวายที่มาแรงที่สุดในตอนนี้ เดินทางมาต่อกันที่เล่ม 7 เล่มใหม่ล่าสุดแบบฉุดไม่อยู่ เรื่องราวความฟิน จิ้นกระจายยังเดินทางอยู่ ดูจากหน้าปกก็รู้แล้วว่าฟินแค่ไหน เรื่องราวของความรักที่ดำเนินมาถึงจุดเข้มข้น ความเจ็บปวด ความเสียใจและความสับสนปะปนจนแยกไม่ออก เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ตามมาเอาใจช่วยเจ้าฮัสกี้ตัวนี้ไปด้วยกันจ้า ซือเม่ย ซือหมิงจิ้ง ผู้ที่เติบโตมาเป็นคนที่อ่อนโยน ไร้เดียงสา และอยู่ในโอวาทมาเสมอ เปรียบเสมือนปุยนุ่นที่ขาวบริสุทธิ์ บุรุษผู้นี้รูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าขาวดุจหยกน้ำแข็ง นัยน์ตาดอกท้อท่วมท้นด้วยความรู้สึก แวววาวอ่อนละมุนดุจธารวสันต์ ต่อให้เขาจะมีอารมณ์โกรธมากแค่ไหนก็คงจะเป็นโกรธที่นุ่มนวลที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาละมั้ง  เขาเองก็คิดว่าตัวเองนั้นเป็นคนแค่คนธรรมดา มีความเห็นแก่ตัว อยู่ใจตัวเช่นกัน แต่น้อยคนที่จะเข้าใจความรู้สึกเชา เมื่อความจริงบางอย่างได้ปรากฎขึ้น ความสัมพันธ์ที่โม่หรานเฝ้าทะนุถนอมมาเป็นอย่างดีเลยสั่นคลอน จนหมาฮัสกี้ที่โง่เขลาต้องเจ็บปวดและไม่สามารถเก็บตัวไว้ได้ เรื่องราวความวุ่นวายนี้จะเป็นอย่างไร เตรียมตัวไปจิ้นจิกหมอนกระจายกันต่อได้เลยในเล่มแบบเต็มๆ ห้ามพลาดเลยจ้า รีบสั่งซื้อเล้ยยย ^^

แค่ชื่อหนังสือ เชื่อว่าสาวออฟฟิศหลายคนก็ต้องรีบหยิบมาดูแล้ว"ยังไงฉันก็จะเลิกงานตรงเวลาค่ะ" กล่าวถึงชีวิตการทำงานในยุคปัจจุบัน ที่บีบบังคับให้หลายคนต้อง Productive จนต้องทำงาน "ล่วงเวลา"แต่ว่า "ยุย" ตั้งใจไว้ว่าจะไม่ทำเช่นนั้น และเธอก็สามารถจัดการงานทุกอย่างได้ดีจนสามารถกลับบ้านตรงเวลาเสมอ จนกระทั่งผู้จัดการใหม่ย้ายเข้ามา และมอบหมายงานที่หนักหน่วงจนเป็นอุปสรรคต่อการกลับบ้านตรงเวลาของเธอ!แม้จะเป็นเรื่องของการต่อสู้ฝ่าฟันแต่ก็สอดแทรกมุกตลกฮาๆ ไว้เพียบ แถมยังได้เห็นถึงคน 2 ประเภท ทั้งคนที่ยินดีทุ่มเทเพื่อองค์กรตลอด 24 ชั่วโมงเพื่อความก้าวหน้า และคนที่ใส่ใจชีวิตในมุมอื่นๆ ไม่ได้ใช้ชีวิตเพื่อทำงานอย่างเดียวว่าแต่คุณคิดว่าตัวเองเป็นประเภทไหนล่ะ?

ผลงานฝีมือการเขียนของโร่วเปาปู้ชือโร่ว (rou bao bu chi rou) นิยายวายที่มาแรงที่สุดในตอนนี้ มาต่อกันที่เล่ม 6 เรื่องราวความฟิน จิ้นกระจายยังไม่จบ ไปติดตามต่ออ่านต่อกัน เป็นเรื่องราวของโม่เวยอวี่ พระเอกที่ตายแล้วย้อนอดีตมาช่วงเด็กก่อนจะเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นจนทำให้เปลี่ยนไปคนละคน ฉู่หวั่นหนิงนายเอกเป็นซือจุน อาจารย์ของพระเอก ชีวิตวัยเด็กพระเอกก็ล้มลุกคลุกคลานจนกระทั่งมาคำนับอาจารย์ นายเอกเคยช่วยชีวิตพระเอกตอนยังเป็นแค่เด็กเล็ก ๆ แต่เพราะยังเล็กเนี่ยแหละความทรงจำพระเอกตอนนั้นเลยเป็นแค่ภาพเลือนราง พอเห็นหน้านายเอกก็รู้สึกติดใจว่าเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อนแต่ไม่ได้ถามออกไป นายเอกโตมาให้ละเรื่องทางโลกมีแต่ความรู้สึกว่างเปล่า บำเพ็ญเพียรอย่างเดียวเมื่อพบกับจิตใจที่ดีงาม รอยยิ้มสว่างสดใสและความเด็ดเดี่ยวของพระเอกทำให้นายเอกใจสั่น เริ่มบทแรกจะเกริ่นถึงโม่หรานตอนขึ้นเป็นจักรพรรดิ ฮอตไม่หยุดฉุดไม่อยู่จริงๆ สำหรับนิยายวายสุดจิ้นภาคต่อมาใหม่เล่มนี้ ที่จะพาทุกคนไปสัมผัสกับเรื่องราวความรักของเหล่าพระเอกและนายเอก น้องอินทร์เสิร์ฟมาให้ทุกคนอ่านจนดิ้น เตรียมจิ้นจนจิกหมอนกระจาย ช้าหมดอดไม่รู้ด้วยน้า ห้ามพลาดเลยจ้า รีบสั่งซื้อเล้ยยย ^^

ผลงานฝีมือการเขียนของ Chiffon_cake ที่สายวายต้องกรีดร้อง ตามมาฟินและจิ้นไปพร้อมกัน กับเรื่องราวของหนุ่มปีสี่คณะบริหารฯ ต้องมาตกใจกับพลังวิเศษแปลกๆ ที่มีการสบตากับรูปภาพโมนาลิซา จนทำให้รู้ว่าตัวเองมีความสามารถพิเศษ เป็นเรื่องราวของผมกับมันเริ่มต้นขึ้นหลังจากที่ผมกลับมาจากปารีส ไม่มีใครรู้ว่าเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับผมได้ยังไง เมื่อผมสามารถเข้าไปอยู่ในรูปของตัวเองและมองเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นตอนนั้นได้ และต่อมาก็ได้รู้ว่าวิวที่ผมเห็นนั่นคือห้องนอนของเพื่อนในกลุ่มคนที่ผมไม่เคยคิดเลยว่ามันจะมีรูปของผมอยู่ในห้องนอนคนที่ผมไม่เคยคิดเลยว่ามัน (อาจ) จะคิดกับผมเกินเพื่อนคนที่เป็นเพลย์บอยเปลี่ยนคู่ควงไม่ซ้ำหน้าแบบมันเนี่ยนะ เอาเป็นว่าไม่ว่าใครเป็นคนทำให้เรื่องบา ๆ นี่มันเกิดขึ้น แต่ผมจะต้องหาคำตอบให้ได้ว่ามันเกิดขึ้นเพราะอะไร และระหว่างผมกับ #ไคทำ จะเป็นยังไงต่อไปหลังจากที่ผมรู้ความลับของมันแบบนี้คืนหนึ่งเขาได้พลั้งปากพูดจาแทงใจดำใส่ไคท์ที่เป็นคนดูแลเขาทั้งคืน โดยถ้วยคำที่ปีย์พูดกับไคท์นั้นเป็นในเชิงที่ว่าอยากให้ใครเลิกเสแสร้งเป็นในสิ่งที่ตัวไม่ใด้เป็นหรือทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้อยากทำ การประชดชีวิตด้วยการควงคนนั้นคนนี้ไปทั่วมีแต่จะทำให้ลดคุณค่าที่แท้จริงของตัวไคท์ หลังจากวันนั้นไคท์ก็เริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเอง เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อ ตามไปสั่งซื้ออ่านต่อกันได้เล้ยย

เหล่าผู้คนที่กำลังอ่อนล้า หรือมืดแปดด้าน...โปรดฟังทางนี้!“ร้านกาแฟจันทร์เต็มดวง” ของเราพร้อมเปิดให้บริการลูกค้าด้วยเครื่องดื่มและของหวานรสชาติชั้นเลิศ..ในคืนเดือนเพ็ญเท่านั้น!!.และยังมีแมวเหมียวเจ้าของร้าน ที่มาพร้อมกับบริการสุด Exclusive!..การทำนายดวงชะตาลูกค้า แบบ Natal chart  โดยใช้ความรู้ทางโหราศาสตร์มาประยุกต์ และช่วยให้คำแนะนำ เยียวยา แก้ปัญหาชีวิตให้ลูกค้าที่ทางร้านเราได้เลือกสรรค์มาแล้วอย่างดี (ตามแต่ผู้เขียนจะพาไป).โดยตัวเนื้อหาในหนังสือ จะเล่าผ่านเรื่องราวของลูกค้าแต่ละท่านที่มาใช้บริการ ณ “ร้านกาแฟจันทร์เต็มดวง” เป็นการบอกเล่าคนอ่านว่า“ฮาวทู ทำอย่างไรไม่ให้ดาวน์” << อย่างแนบเนียนผ่านนิยายแบบฟีลกู้ด.เนื้อหาจริงๆ ที่แฝงอยู่ นอกจากการให้ความรู้เรื่องดวงดาว โชคชะตาและเมนูอาหาร-เครื่องดื่ม ที่สุดจะเหนือจินตนาการแล้วนั้น ก็คือ...เราต้อง “รู้จัก” และ “เข้าใจ” ในตนเองให้แจ่มชัด สิ่งที่เกิดขึ้นกับทุกคนในปัจจุบัน ล้วนมีผลพวงจากอดีตที่เคยไปกระทำ..หรือตัดสินใจใดๆ ในชีวิตไว้ก็ตาม ถ้าเรายอมรับมันได้ ยอมรับว่าตัวเองชีวิตไม่เป็นอย่างที่หวังเคยเป็นคนที่ทำผิด พลาดพลั้งไป จึงมีความทุกข์หรือมีปัญหาเกิดขึ้น การยอมรับตัวเอง จะทำให้เราได้หยุดนิ่งและหันกลับมามองตัวเอง อย่างระมัดระวังตัว ใช้ชีวิตอย่างมีสติพร้อมที่จะรับมือกับสิ่งต่างๆที่กำลังเข้ามาในชีวิตของเราต่อไปจากนี้..ส่วนสิ่งที่ทำพลาด เราก็พยายามแก้ไข ด้วยใจที่น้อมรับ ผลลัพธ์มันจะต้องแตกต่างจากเดิมอย่างแน่นอน...ลองนึกภาพตาม…มันจะดีแค่ไหน? หากมีหนังสือที่รวบรวม สามสิ่งที่สามารถฮีลใจได้ในยุคปัจจุบัน เอาไว้ด้วยกัน..“การดูดวง” + “ไปกินของอร่อยที่ร้านคาเฟ่ต์” + “แมว”..ในแมวนักพยากรณ์แห่งร้านกาแฟจันทร์เต็มดวง เล่มนี้มีให้ทุกท่านครบแล้ว สายโชค สายเที่ยวคาเฟ่ต์ และทาสแมวทุกท่านขอเชิญไปสนุกกับการดูดวงที่ร้านคาเฟ่ต์โดยมาสเตอร์แมวได้เลย!

ในวันที่เราท้อแท้ สับสนภายในใจ อยากให้ลองหยิบเล่มนี้ขึ้นมาอ่าน แล้วใช้เวลาทบทวนว่า ‘การมีชีวิตอยู่’ นั้นมีคุณค่ามากมายเพียงใด….“หนังสือเล่มหนึ่งซึ่งไม่มีวางขาย” เปรียบดั่งหนังสือแนว Life coach ผสมกับ How to ที่นำมาเล่าเรื่องให้อยู่ในรูปแบบของนิยาย.มีการเล่าเนื้อหาผ่านมุมของตัวเอกผู้ที่ใช้ชีวิตไร้แก่นสารไปวันๆที่มีชื่อว่า ‘โยสุเกะ’ เด็กหนุ่มวัย 17 ปี ..ในช่วงปิดเทอมฤดูร้อน เขาต้องมานั่งเฝ้าร้านหนังสือให้พ่อ (การเฝ้าร้าน เป็นข้ออ้างที่ดี ในการไม่ต้องทำอะไร เช่น อ่านหนังสือสอบ) จนวันหนึ่งเขาได้เจอกับลูกค้าเด็กสาวที่มีชื่อว่า ‘ฮารุกะ’ เธอเลือกเดินเข้ามาในร้านพร้อมตามหาหนังสือเล่มหนึ่ง ทั้งคู่เริ่มสนิทสนมจนกลายเป็นเพื่อนที่คอยมอบแรงบันดาลใจให้กันและกัน ..การได้รู้จักฮารูกะทำให้มุมมองการใช้ชีวิตของโยสุเกะเปลี่ยนไป ..ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ ไม่ต่างจากการหยิบหนังสือเล่มใหม่ขึ้นมาอ่าน แต่ไม่ใช่หนังสือหรือตัวอักษรบนหน้ากระดาษทั่วไป หากเป็นหนังสือแห่งชีวิต.นอกจากจะสอดแทรกแนวคิดการใช้ชีวิตผ่านบทสนทนาของทั้ง 2 ตัวละครแล้ว ภายในเล่มยังสามารถสรุป ข้อคิดที่ผู้เขียน ‘ยาสึชิ คิตากาวะ’ ต้องการมอบพลังใจให้กับผู้ที่ได้อ่าน เช่น- รู้ว่าจริงๆ แล้วตัวเองต้องการอะไร - รู้วิธีทำฝันให้เป็นจริง - รู้ความจริงเกี่ยวกับความสำเร็จในแง่ความมั่งคั่ง - เป็นคนเปี่ยมล้นด้วยเสน่ห์ - ไม่นำวิธีการมาเป็นเป้าหมาย - ละทิ้งอคติที่ว่าเราทำไม่ได้ - ไม่มีอะไรในชีวิตนี้ที่เราทำไม่ได้.และสุดท้ายนี้ จงจำไว้ว่า..ตราบใดที่ยังมีความฝันอยู่ นั่นหมายความว่าชีวิตยังมี ..วันพรุ่งนี้ให้ลงมือทำเสมอ

จริงๆแล้ว เราทุกคนมีชีวิตที่มหัศจรรย์ เพียงแต่อาจจะเป็นเพราะหน้าที่การงาน ความรับผิดชอบในสังคม ทำให้ผู้คนหลงลืม ความมหัศจรรย์ของชีวิตนี้ไป.รอนดา เบิร์น เจ้าของผลงานดัง “เดอะซีเคร็ต” ที่ว่าด้วยกฏแรงดึงดูด กำลังจะบอกคุณว่า…บางสิ่งบางอย่างที่คุณปรารถนา มันจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีความเชื่อ ความศรัทธาอย่างแท้จริง .ในหนังสือ The Magic จะเน้นยํ้าไปที่พลังอันน่าอัศจรรย์ของการ “สำนึกรู้คุณ”(การขอบคุณ)กล่าวคือ เราต้องใช้ปฏิบัติการ 28 วัน 28 รูปแบบในการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างในชีวิต.โดยแบ่งออกเป็น 3 ช่วง- 12 ปฏิบัติการแรก จะเป็นปฏิบัติการสำนึกรู้คุณสิ่งที่เราเคยได้รับในอดีตและได้รับอยู่ในปัจจุบัน(เป็นการปรับทัศนคติที่มีต่อตัวเองและสิ่งรอบตัว) - 10 ปฏิบัติการต่อมา จะเป็นปฏิบัติการที่ทำให้ความปรารถนาต่างๆ ที่เราต้องการเป็นจริง- 6 ปฏิบัติการครั้งสุดท้าย จะเป็นปฏิบัติการที่ยกระดับการใช้กฎแห่งแรงดึงดูดของเรา ให้ไปถึงขั้นสูงสุดและลึกลงไปในระดับจิตใจ.ซึ่งในส่วนนี้เราจะเรียนรู้การใช้กฎนี้ให้ซึมลึกในกิจวัตรของเรา จากปฏิบัติการทั้งหมด 28 วัน จะมีปฏิบัติการที่เราต้องทำต่อเนื่องเป็นเวลา 27-28 วัน ได้แก่ ปฏิบัติการ “คิดถึงแต่สิ่งดีๆ ในชีวิต” และปฏิบัติการ “ก้อนหินมหัศจรรย์” ซึ่งเราจะต้องทำทุกเช้าและทุกเย็นนั่นเอง.เดอะเมจิก (The Magic) เป็นหนังสือที่อ่านได้เข้าใจง่ายแม้จะไม่เคยอ่าน “เดอะ ซีเครท” หรือ “เดอะ พาวเวอร์” ของ รอนดา เบิร์น มาก่อน...เนื่องจากมีการสรุปรวบรวม เทคนิคและเจาะลึกวิธีการใช้กฎแรงดึงดูด ทำมาเป็นข้อๆ เป็นขั้นเป็นตอนที่ทำได้จริง เมื่ออ่านแล้วนำไปประยุกต์ใช้ ก็จะสามารถพัฒนาชีวิตในด้านต่างๆ ของเราให้ดีขึ้นได้

ผลงานฝีมือการเขียนของโร่วเปาปู้ชือโร่ว (rou bao bu chi rou) นิยายวายแนวเทพเซียนเกิดใหม่ ที่ขายดีติดอันดับ 3 ของ VIP Gold list และตอนนี้ทะยานขึ้นอันดับหนึ่งบนเว็บไซต์จิ้นเจียงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เป็นเรื่องราวของฉู่หวั่นหนิงนายเอกเป็นซือจุนอาจารย์ของพระเอก ชีวิตวัยเด็กพระเอกก็ล้มลุกคลุกคลานจนกระทั่งมาคำนับอาจารย์ นายเอกเคยช่วยชีวิตพระเอกตอนยังเป็นแค่เด็กเล็กๆ แต่เพราะยังเล็ก เนี่ยแหละความทรงจำพระเอกตอนนั้นเลยเป็นแค่ภาพเลือนราง พอเห็นหน้านายเอกก็รู้สึกติดใจว่าเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อนแต่ไม่ได้ถามออกไป นายเอกโตมาให้ละเรื่องทางโลกมีแต่ความรู้สึกว่างเปล่า บำเพ็ญเพียรอย่างเดียวเมื่อพบกับจิตใจที่ดีงาม รอยยิ้มสว่างสดใสและความเด็ดเดี่ยวของพระเอกทำให้นายเอกใจสั่น เริ่มบทแรกจะเกริ่นถึงโม่หรันตอนขึ้นเป็นจักรพรรดิหลังจากการฆ่าตัวตาย ‘โม่หราน’ จักรพรรดิท่าเซียนจวินที่ผู้คนกล่าวขานว่าโหดเหี้ยมอำมหิต ก็กลับย้อนอดีตมาอยู่ในร่างตัวเองช่วงอายุสิบหกปี เป็นช่วงเวลาที่ความชั่วร้ายเลวทรามทั้งหมดในชีวิตเขายังไม่เกิดขึ้น และคนสมควรตายที่เขาแสนเกลียดชังผู้นั้นก็ยังอยู่ ‘ฉู่หวั่นหนิง’ ยังเป็นอาจารย์ของเขาเช่นเดิม เริ่มแรกที่ย้อนกลับมาเขายังโกรธแค้นอาจารย์อย่างมาก และพยายามจะหาทางเอาคืนตลอดเวลา แต่การณ์กลับกลายเป็นว่ายิ่งอยู่ไปยิ่งไม่เหมือนเมื่อก่อน มีหลายเรื่องเกี่ยวกับฉู่หวั่นหนิงที่ไม่ตรงกับความทรงจำของเขา รวมทั้งยังมีความลับอื่นๆ ที่ซุกซ่อนอยู่อีกมากมาย แล้วโม่หรานจะเชื่อสิ่งไหน จะทำอย่างไรต่อไป ติดตามอ่านได้ง่ายๆ ที่นี่เลยจ้า ห้ามพลาดเด็ดขาดทุกคน ^^ 

.

…คุณคิดว่า “เงิน” VS “เวลา” อะไรสำคัญกว่ากัน?คำถามนี้อาจจะมีส่วนที่กำหนด “ความสุข” ในชีวิตของคุณได้…ซึ่งหลายคนอาจจะให้คำตอบไม่เหมือนกัน ..แต่เหล่านักวิชาการจาก Harvard Business School ที่ศึกษาเรื่องดังกล่าวได้ค้นพบว่า  #ความมั่งคั่งทางเวลา คือ ปัจจัยสำคัญของการเติมเต็มความสุขของคนคนหนึ่ง รวมไปถึงศักยภาพ ประสิทธิผลในการทำงานอีกด้วย.ซึ่ง TIME SMART ความฉลาดทางเวลา เป็นหนังสือที่จะช่วยคุณฝึกทักษะ ปรับแต่งการคิดและการตัดสินใจ ในเรื่องเล็กน้อยๆ ไปจนถึงเรื่องใหญ่ ในอนาคตระยะยาว โดยมปัจจัยด้านเวลา มาคิดเกี่ยวข้อง.ยกตัวอย่าง เนื้อหาในหนังสือ เช่น 3 วิธีการเพิ่มความมั่งคั่งทางเวลา1. การหาเวลา คือ การยกเลิกกิจกรรมที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใด2. การซื้อเวลา คือ การจัดสรรเงินที่ใช้ไปกับสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ไปใช้เพื่อทำให้เราประหยัดเวลามากขึ้น3. การกำหนดนิยามใหม่ให้เวลา ที่ เพิ่มความมั่งคั่งให้เวลาเราได้เช่น การเดินทางไปทำงาน หรือ การเดินทางไปซื้อของเป็นการพักผ่อน.และถ้าหากอ่านหนังสือ “ความฉลาดทางเวลา” เล่มนี้ คุณจะได้เรียนรู้วิธีจัดการกับเวลาจากสิ่งรบกวนของโลกใบนี้ เนื่องจากในปัจจุบ้น.. ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี ทัศนคติ หรือ วิถีปฏิบัติด้านเวลา ผู้คนยังเข้าใจแบบตรรกะวิบัติ ในเรื่องของความมั่งคั่งทางการเงินที่เรายึดถือกัน ซึ่งเราควรเปรียบเทียบเงินกับเวลา ในแบบที่เอื้อต่อชีวิตที่ดียิ่งขึ้น.เมื่อคุณเริ่มออกเดินทาง ด้วยเส้นทางของคนที่มีทักษะแห่งความฉลาดทางด้านเวลา การตัดสินใจของเรื่องต่างๆ ในแต่ละครั้งของคุณ ก็จะเป็นไปเพื่อความสุข และคำนึงถึงประสิทธิภาพในอนาคต พร้อมปลดล็อคเวลาเพิ่มขึ้นมากมายในแต่ละ วัน เดือน ปี เพื่อสิ่งที่สำคัญกับชีวิตคุณจริงๆ!

“ไม่ใช่ที่ของเรา” เขียนโดย แพท พาวเวอร์แพทศิลปินหนุ่ม เพื่อให้กำลังใจให้กับคนที่ท้อแท้ในชีวิตและได้รับรางวัล How To ไทยแห่งปี อันดับที่ 3 ของNAIIN READER’S AWARDS 2021 ที่เพิ่งจัดงานประกาศผลไปเมื่อปลายเดือนมกราคม ปี 2022.พ็อกเก็ตบุ๊คเล่มนี้ เป็นหนังสือที่แชร์เรื่องราวชีวิตตลอดระยะเวลา 16 ปีกว่า ในเรือนจำของเขา…กลั่นกรองจากประสบการณ์จริง ที่ได้ผ่านความเจ็บปวด บทพิสูจน์ และการเติบโต จนตกผลึกกลายเป็นบทเรียนแห่งชีวิต การเรียนรู้ที่ล้ำค่า ถ่ายทอดออกมาให้ผู้อ่านได้เห็นกันอย่างชัดถ้อยชัดคำ โดยไม่จำเป็นต้องไปศึกษาในคุกด้วยตัวเอง.นอกจากได้รู้เรื่องราวชีวิตของผู้คนในเรือนจำเพิ่มขึ้นอีกสิ่งหนึ่งที่จะได้ข้อคิดจากการอ่านเล่มนี้ ก็คือ การเปิดใจ การเปลี่ยนทัศนคติ ที่มีต่อผู้คนในนั้น .ก่อนหน้านี้ เราก็คงมองเหมือนคนทั่วไปว่า คนที่เข้าไปอยู่ในเรือนจำ คือ คนไม่ดีทั้งหมด ไม่ควรได้รับโอกาสแต่อันที่จริง มันมีมิติที่หลากหลายมากกว่านั้น เช่นบางคนก็แค่ทำพลาด บางคนมีพื้นฐานจิตใจที่อ่อนโยน แต่สภาพแวดล้อม ทำให้เขาต้องทำผิดเพื่อเอาตัวรอด หรือ บางคนเติบโต ถูกสอนมาท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่นำพาให้เขาเห็นผิดเป็นถูก ซึ่งเรือนจำหลายแห่งก็ได้เปลี่ยนแปลงคนเหล่านั้น เป็นจำนวนมากให้ดีขึ้น จนกลับออกมาสู่สังคมในฐานะคนๆ นึงที่พร้อมจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้ .และสิ่งที่คุณแพท ทำคือ การยอมรับผลของการกระทำตนเอง เรียนรู้ที่จะอยู่กับปัจจุบัน ทำวันพรุ่งนี้ให้ดีขึ้นกว่าเดิมเขาตัดสินใจลุกขึ้นมาเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนที่ดีขึ้น ตั้งแต่ตอนอยู่ในเรือนจำ โดยหวังว่า เมื่อเขาออกมา เขาจะทำบางสิ่งบางอย่างให้มีคุณค่า เช่น การเขียนหนังสือเล่มนี้ออกมาให้ทุกๆคนได้อ่านนั่นเอง…

จากผลงานล่าสุดของ “ฟิลิป คอตเลอร์”บิดาแห่งการตลาดยุคใหม่ ที่นักการตลาดไม่มีใครไม่รู้จักมาครั้งนี้ “Marketing 5.0” ได้มีการเน้นเนื้อหาไปที่การใช้เทคโนโลยี หรือตามหน้าปกก็คือ >>>Technology for Humanity (เทคโนโลยีเพื่อมวลมนุษยชาติ) ซึ่งว่าด้วย การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีมาทำการตลาด(Marketing Technology หรือ Martech) เพื่อสื่อสารและตอบโจทย์ความหลากหลายของพฤติกรรมผู้บริโภค.โดยแบ่งเป็น 4 Part คร่าวๆ ดังนี้Part 1 – Introduction เกริ่นถึง Concept ในการแบ่งยุคสมัยของการตลาดการตลาด 1.0 Product Centric : ให้ความสำคัญสินค้าเป็นหลักการตลาด 2.0 Customer Centric : เน้นหาช่องทางเจาะกลุ่มลูกค้า การตลาด 3.0 Human Centric : ให้ความสำคัญเรื่องมนุษยธรรม (ทำ CSR)การตลาด 4.0 Traditional to Digital : การเปลี่ยนผ่านไปแพลตฟอร์มดิจิทัลและสุดท้าย ในเล่มนี้ คือ ยุคการตลาด 5.0 / Marketing 5.0Technology for Humanity ที่กล่าวไปแล้วข้างต้น....Part 2 – Challenge Marketers Face in a Digital Worlds สิ่งที่ท้าทายในยุค Data 5.0 ได้แก่- Generation Gap ช่องว่างและความแตกต่างระหว่างวัย- Prosperity Polarization ความต่างของขั้วแนวคิดทางสังคม- Digital Divide คนจะปรับตัวอย่างไรเมื่อ AI กำลังมาแทนที่.Part 3 – New Strategies for Tech-Empowered Marketing โลกยุคใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลขนาดยักษ์ กลยุทธ์การตลาดสำคัญมาก- หมดยุคที่เราใช้กลยุทธ์เดียวยืนยาวทั้งปี ตอนนี้ต้องปรับกันทุกเดือนหรือไตรมาส- เทคโนโลยีกำลังจะมาช่วยเสริมศักยภาพการทำงานของมนุษย์.Part 4 – New Tactics Leveraging Marketing Tech เรียนรู้เทคโนโลยีใหม่อยู่เรื่อยๆ โดยมีหลักการตลาดน่าสนใจดังนี้- Data-Driven Marketing การตลาดที่ใช้ข้อมูล- Predictive Marketing การต่อยอดใช้ข้อมูลมาพยากรณ์ผลลัพธ์- Contextual Marketing ทำการตลาดด้วยความเข้าใจในบริบทของลูกค้า- Augmented Marketing เอาเทคโนโลยีมาเสริมความสามารถของมนุษย์- Agile Marketing การทำการตลาดด้วยความคล่องแคล่วและรวดเร็ว.สรุป คือ แกนหลักของหนังสือ “Marketing 5.0 Technology for Humanityการตลาด 5.0 เทคโนโลยีเพื่อมวลมนุษยชาติ” เล่มนี้ จะบอกให้เรารู้ว่าโลกของ Marketing ในปัจจุบันและอนาคตอันใกล้ กำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคที่ ใช้เทคโนโลยีขั้นสุด และใช้ข้อมูลมหาศาลในการตัดสินใจวางกลยุทธ์อะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ สำหรับใครที่ต้องการติดตามต่อในส่วนเนื้อหาเชิงลึก สามารถสั่งซื้อได้ที่ Naiin.com และ Naiin App

เมื่อพูดถึงหนังสือที่เกี่ยวกับการตลาดเรามักจะเห็นคำโปรยแนวๆ ที่ว่า..“เคล็ดลับ”..”เพิ่มยอดขาย”..”เทคนิค”..”เพิ่มลูกค้า”หรือ “สูตรสำเร็จ” ..”วิธีเรียกยอดวิว” อะไรก็ตาม.แต่หนังสือเล่มนี้ มาแบบฉีกทุกกฏของการขายหนังสือด้านการตลาด เพราะผู้เขียนเขาบอกเลยว่ามันไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว หรือ วิธีการทำคอนเทนต์ให้ปังแบบฉาบฉวยอะไรทั้งสิ้น..ทุกอย่างนั้นต้องอาศัยความเข้าใจ ถึงแก่นแท้ของคำว่า ‘Content Marketing’ โดยวันนี้ทางรีวิวบุ๊คเมทขอสรุป สาระสำคัญ 4 ประการที่ผู้อ่านทุกท่านจะได้จาก “สร้างคอนเทนต์ มัดใจลูกค้า How to Do Content Marketing Right” เล่มนี้.1.อย่างแรก เราต้องย้อนกลับไปตั้งต้นและถามก่อนว่า“คอนเทนต์ คือ อะไร?” เหมือนจะเป็นคำถามที่ง่ายที่สุดแต่เชื่อว่ามีหลายคนที่ยังตอบได้ไม่มั่นใจอย่างเต็มร้อยโดยในเล่มสรุปไว้ว่า Content = เป็นรูปแบบของข้อมูลหรือเนื้อหาที่ถูกออกแบบมาเพื่อสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมาย และเกิดผลอย่างใดอย่างหนึ่ง ตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้<<.2. ทำไมต้องทำคอนเทนต์?คอนเทนต์นั้นมีพลังและประสิทธิภาพมากมายมหาศาลถ้าเรารู้จักใช้มันให้เป็น สร้างเนื้อหาที่มีคุณค่า และให้ประโยชน์แก่ผู้รบสาร จะทำให้คนเราเปลี่ยนแปลงทัศนคติและพฤติกรรมต่างๆ จนนำไปสู่การขับเคลื่อนสังคมได้.3. ถือเป็นหลักสำคัญของ Content Marketing คือ ควรสร้างเนื้อหาในสิ่งที่ผู้บริโภคอยากทราบ และในขณะเดียวกันเนื้อหานั้นก็ยังสามารถทำกำไร(หรือยอดวิว)ได้ด้วย...ซึ่งคนทำคอนเทนต์ต้องหาจุดร่วมตรงนั้นให้เจอ.4. นักการตลาดสาย Content Marketing ที่ดีควรหมั่นสังเกต และศึกษาสิ่งต่างๆรอบตัวอยู่ตลอดเวลาฝึกนำแนวคิดแต่ละอย่างมาเชื่อมโยง เพื่อสรรค์สร้างวิธีการนำเสนอคอนเทนต์ ให้มีคุณภาพมากขึ้นเรื่อยๆ.และยังมีหลักการ สาระความรู้อยู่อีกมาก ในเล่มนี้ที่จะทำให้ทุกท่านเข้าใจคอนเทนต์ในเชิงการตลาดมากขึ้น จนกระทั่ง สุดท้ายแล้วสามารถ ดึงจุดเด่นของสินค้าตนเองหรือทำคอนเทนต์ในแบบฉบับของตัวเองได้อย่างมีคุณภาพ

ผลงานฝีมือการเขียนของหนานเฟิงเกอ นิยายวายชวนจิ้นที่เป็นเรื่องราวของจวินซูอิ่งและฉู่เฟยหยางที่ได้พบปริศนาและอุปสรรคครั้งใหม่ที่จะมาทดสอบสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองคนจวินซูอิ่ง อดีตประมุขพรรคมาร ที่ได้กลายเป็นยอดดวงใจของฉู่เฟยหยาง ยอดจอมยุทธ์หนึ่งในโลกหล้า จนมาวันหนึ่ง จวินซูอิ่งไล่ล่าสั่งสอนโจรชั่วและยึดดาบหักเล่มหนึ่งมาได้ คาดไม่ถึงว่าดาบหักเล่มนั้นจะซ่อนปริศนาเอาไว้นำพาให้ทั้งสองจำต้องออกเดินทางไปยังเกาะแห่งหนึ่ง หนทางข้างหน้าเต็มไปด้วยหุบเหวมากมาย ทั้งสองจะเอาชีวิตรอดกลับมาหาลูกๆ ได้หรือไม่ ต้องให้พลังความรักของทั้งสองเป็นตัวตัดสินห้ามพลาดกับการเดินทางสู่ยุทธภพในครั้งนี้จะเข้มข้น เสี่ยงอันตราย และบีบคั้นหัวใจกว่าที่เคยแค่ไหน ความรักของทั้งคู่ก็จะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งมากขึ้นเท่าไหร่ ตามไปฟิน จิ้น จนต้องจิกหมอนกระจายกันได้แล้ววันนี้ ต้องรีบไปหามาอ่านกันได้แล้วน้า ^^

คุณมีนิสัยเล็กๆน้อยๆ แต่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของคุณได้บ้างหรือไม่? และคุณสร้างนิสัยนี้มาได้อย่างไร?.เปิดมาด้วยคำถามให้ขบคิดกันก่อน สำหรับหนังสือ“Tiny Habits เปลี่ยนน้อยนิด พิชิตทุกเป้าหมาย”โดย BJ Fogg หรือ Dr. Brian Jeffrey Fogg นักสังคมศาสตร์ ผู้ก่อตั้งศูนย์วิจัย Behaviour Design Lab ที่ Stanford University.เนื้อหาได้กล่าวถึง การเปลี่ยนแปลงตัวเอง ที่จะทำ หรือเลิกทำอะไรซักอย่างในชีวิต สามารถเริ่มต้นได้จากสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เช่น การสร้างอุปนิสัยเล็กๆ ที่อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่งใหญ่.ผู้เขียนเสนอแนวคิดที่เรียกว่า “Tiny Habits” (พฤติกรรมเล็กๆ)หลักการ ก็คือ: ไม่ควรคิดทำสิ่งใหญ่ๆ ตั้งแต่ต้น เพราะถ้าทำไม่สำเร็จจะเกิดการโทษตัวเอง และการเปลี่ยนแปลงอะไรก็ตาม มักจะมาจากความรู้สึกที่ดีไม่ใช่ความรู้สึกที่แย่ ควรย่อความฝันที่ต้องการให้เป็นพฤติกรรมเล็กๆ และมองความผิดพลาดให้เป็นการค้นพบเพื่อเดินหน้าต่อไป.ส่วนองค์ประกอบที่จะนำไปสู่พฤติกรรมใหม่นั้น เป็นโครงสร้างที่เรียกว่า Fogg Behaviour Model (B = M A P)Behaviour = พฤติกรรมที่เป็นอยู่หรือที่ต้องการให้เกิดผลลัพธ์นั้นขึ้นMotivation = แรงจูงใจที่จะทำพฤติกรรมนั้นAbility = ความยากง่ายที่จะทำพฤติกรรมนั้นPrompt = การแจ้งเตือนให้ทำพฤติกรรมกล่าวคือ ถ้าจะให้เกิดพฤติกรรมใหม่ขึ้นได้ จะต้องมีแรงจูงใจ ความสามารถที่จะทำ และการแจ้งเตือนให้ทำ เกิดขึ้นทั้ง 3 ปัจจัยพร้อมๆกัน ไม่อย่างนั้น มันจะไม่เกิดขึ้นซึ่งรูปแบบโครงสร้างนี้ ใช้ได้กับทั้งพฤติกรรมด้านดีและไม่ดีและแต่ละคนก็จะมี Motivation , Ability , Prompt ในแต่ละสถานการณ์ที่แตกต่างกันออกไป.จำไว้ว่า..ไม่มีเรื่องไหนเล็กเกินไป ถ้ามันสําคัญกับคุณการเปลี่ยนแปลง แม้เพียงเล็กๆน้อยๆที่เกิดขึ้นกับเราก็เปรียบเสมือนคลื่นที่ระลอกออกไป มันจะมีผลกระทบในวงกว้างเสมอ .หากท่านใดสนใจ รายละเอียดลึกลงไปต่อจากนี้ สามารถติดตามต่อได้ใน “Tiny Habits เปลี่ยนน้อยนิด พิชิตทุกเป้าหมาย”เล่มนี้…มีจำหน่ายแล้วที่ Naiin.com และ Naiin App

ผลงานฝีมือการรวมตัวกันของนักเขียนเอเวอร์วาย “จาก 6 มินิซีรี่ส์ Close Friend สู่ 6 เรื่องสั้นที่จะทำให้คุณรู้สึกว่า โคตรแฟน”จากการถ่ายทอด 6 เรื่องราวในรูปแบบมินิซีรี่ส์ มาสู่ 6 เรื่องสั้นจากปลายปากกาของ 4 นักเขียนมากฝีมือ Close Friend โคตรแฟน เป็นโปรเจ็กต์พิเศษที่ทางเอเวอร์วายได้จับมือกับทาง VIU นำบทซีรี่ส์มาตีความใหม่ในรูปแบบนิยาย โดยที่นักเขียนของเราได้อ่านตัวบทดูซีรี่ส์ และปรึกษากับทีมเขียนบท ก่อนจะนำมาเรียงร้อยออกมาเป็นหนังสือในมือของทุกคนในตอนนี้ที่เราภูมิใจนำเสนอนั่นเอง เรื่องราวความรักของทั้ง 6 คู่ 6 สไตล์จะออกมาหวานซึ้งกินใจหรือน่ารักชวนอมยิ้มห้ามพลาดกับผลงานการรวมตัวของนักเขียนเอเวอร์วาย สู่ 6 เรื่องสั้นจาก 4 นักเขียนที่ทำออกมาเป็นโปรเจ็กต์พิเศษให้แฟน ได้ฟิน และจิ้นกระจายไปพร้อมๆ กัน จะฟินขนาดไหน ต้องตามไปอ่านกันแล้ว ^^

“จงเป็นอัจฉริยะในเรื่องสำคัญ และขี้เกียจในเรื่องที่ไม่จำเป็น”Quote ประจำใจของหนังสือ “The Lazy Genius Wayชีวิตไม่เห็นต้องยาก” เขียนโดย เคนดรา อาดาจิ คุณแม่ลูกสามผู้หนึ่งที่ต้องจัดการเรื่องราวต่างๆในชีวิต ให้เป็นระบบระเบียบมากขึ้น...ปัจจุบันเธอเป็นเจ้าของพอดแคสต์ The Lazy Genius Collectiveและในเล่มนี้ คุณจะได้รู้จักกับ “วิถีอัจฉริยะจอมขี้เกียจ” แนวทางปฏิบัติที่อาจจะเข้ากับตัวคุณได้มากที่สุด เพราะเธอเชื่อว่าคนเราทุกคนต่างก็มีเงื่อนไขในชีวิตที่แตกต่างกัน แต่เธออยากให้ผู้อ่านลองถามตัวเองดูสักครั้งว่า ..สิ่งใดกันแน่ที่สำคัญจริงๆ ให้เชื่อมั่นในใจตัวเอง ไม่ต้องฟังคนอื่น ทำสิ่งที่ควรใส่ใจและตัดสิ่งอื่นๆ ทิ้งไปบ้าง.ซึ่งเหตุผลที่แท้จริง ที่เป็นบ่อเกิดความเหนื่อยล้าของเรา ก็คือ การคิดเรื่องเล็กๆน้อยๆ หยุมหยิม.. คนฉลาดที่ขี้เกียจ เขาจะคิด..วางแผนทำบางอย่างให้เหมาะสม เช่น ทำสิ่งที่จะมีผลต่อวันพรุ่งนี้ก่อน หรือ มีผลในอนาคตก่อน แต่เราไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ ทำเรื่องรายละเอียดยิบย่อยไปเสียทุกอย่าง เราแค่เป็นตัวเรา อย่าปล่อยให้ความผิดหวังมันครอบงำเราก็พอ.ถ้าหากมีโอกาสได้อ่านหนังสือเล่มนี้ คุณจะได้หลักการต่างๆรวมไปถึง เคล็ดลับ..วิธีการจัดการที่สามารถนำไปใช้กับชีวิตของคุณได้ดีเยี่ยมอย่างแน่นอน ด้านศิลปะการเขียน ผู้เขียนมีการเรียบเรียงเนื้อหาต่อเนื่อง และใช้เทคนิค Storytelling เล่าเรื่องส่วนตัวของชีวิตเธอไปด้วย ทำให้เห็นภาพและไม่มีเบื่อ ส่วนผู้แปลก็ใช้ภาษาอ่านง่าย เข้าใจง่ายเช่นกัน….จำไว้ว่า…ชีวิตนั้น จริงๆ แล้วเป็นเรื่องง่าย ..แต่ถ้าเกิดชีวิตแลดูยุ่งยาก แปลว่าเราอาจจะสร้างกฎเกณฑ์กักขังตัวเองมากเกินไปจนไม่รู้ตัว

ห้ามพลาดกับผลงานฝีมือการเขียนของ มาร์กัส  ซูซัก เป็นหนังสือที่เกี่ยวกับเรื่องราวของลีเซล เมมิงเกอร์ เด็กสาวคนนั้น กับช่วงเวลาที่ทั้งร้อนระอุและหนาวยะเยือก ในยุคนาซีเยอรมัน (ค.ศ. 1939-1945) เป็นช่วงเวลาที่ยมทูตอย่างข้างานยุ่งยิ่งกว่าช่วงใดๆ ในประวัติศาสตร์ แต่ถึงอย่างนั้น เรื่องราวของเธอกลับมีสีสันอันหลากหลาย ชวนให้สนใจ ชวนให้สงสัยใคร่รู้ และถึงกับทําให้ข้าต้องหัวใจสลาย “ข้าเก็บบันทึกของเธอมาจากกองพะเนิน ในนั้นมีเรื่องเล่าของลมหายใจ ถ้อยคําทรงพลัง มิตรภาพอันงดงาม และจุดที่ความดีงามกับความเลวร้ายห่างกันเพียงคืบ หากเจ้าพร้อมแล้ว มากับข้า...ข้าจะเล่าให้เจ้าฟัง”หนังสือที่เล่าถึงช่วงเวลาแห่งสงครามนับเป็นช่วงเวลาเลวร้าย สุดยอดวรรณกรรมที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นเพื่อบรรยายช่วงเวลาที่โลกต้องประสบกับสงครามโลกครั้งที่สอง ช่วงเวลาที่มีความตายมากมายถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ ผ่านการบอกเล่าเรื่องราวโดยยมทูต ฉายให้เห็นภาพชีวิตรอบตัวเด็กสาวคนหนึ่งที่ชื่อ “ลีเซล เมมิงเกอร์” ซึ่งทำให้ผู้อ่านได้สัมผัสความเจ็บปวด ความสูญเสีย การพลัดพราก ไปจนกระทั่งความตาย ทำให้นักอ่านไม่สามารถวางเล่มนี้ลงได้เลยค่า

ผลงานฝีมือการเขียนของ Twoego เป็นหนังสือที่เกี่ยวกับการให้กำลังใจในการใช้ชีวิต หนังสือที่บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการเติบโตเป็นผู้ใหญ่เเละการให้กำลังใจตัวเอง ที่ทำให้เห็นว่าการปล่อยน้ำตาออกมาบ้างก็ไม่ได้เเย่เท่าไหร่ แถมยังสามารถทำให้เราเป็นคนที่เข้มเเข็งกว่าเดิมได้อีกด้วย“โปรดอย่าซุกซ่อนน้ำตาและความเจ็บปวดเอาไว้ เพราะถึงแม้โตเป็นผู้ใหญ่ก็ไม่ต้องเข้มแข็งตลอดเวลาก็ได้นะ”ห้ามพลาดกับหนังสือที่ตัวเราเองไม่ต้องพยายามแกล้งทำเป็นโอเค ไม่ต้องแกล้งทำเป็นมีความสุข เราไม่จำเป็นต้องฝืนยิ้มได้ทุกครั้งไปหรอก ถ้าไม่มีเรี่ยวแรง ไม่จำเป็นต้องสู้ก็ได้ ถ้าอยากหยุด อยากจะล้มเลิกก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ เพราะสิ่งที่สำคัญกว่าสิ่งไหนๆ ก็คือ "หัวใจของเธอเอง"

ในชีวิตนี้ทุกคนต้องเคยมีเวลาที่มืดแปดด้าน..มองไม่เห็นทางออกหรือประสบความล้มเหลวมาก่อน..แต่ในการที่จะออกมาจากความสิ้นหวังเหล่านั้น ทักษะ 'Resilience' เป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องถูกฝึกฝนและนำมาใช้…คำถาม คือ เราจะทำได้อย่างไร?.RESILIENCE ในที่นี้แปลว่า >> “พลังแห่งการฟื้นตัว” ซึ่งหมายถึง ความสามารถในการเอาชนะอุปสรรคที่ต้องเผชิญ โดยเตรียมพร้อมรับมือได้อย่างเหมาะสม และมีความยืดหยุ่นในแต่ละสถานการณ์.หนังสือ “RESILIENCE ยืนหยัดได้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น” เล่มนี้แปลโดยคุณอาสยา อภิชนางกูร …เขียนโดยคุณคิมจูฮวัน อาจารย์คณะสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยยอนเช ประเทศเกาหลีใต้ทุกอย่างมีงานวิจัยมารองรับ โดยผู้เขียนยังบอกอีกว่า แท้ที่จริงแล้ว“พลังแห่งการฟื้นตัว” คือ “ทักษะ” ซึ่ง “ทักษะ” เป็นสิ่งที่ฝึกฝนกันได้.เราทุกคนล้วนสามารถพัฒนา ได้ด้วยการฝึกทักษะ 2 ประการ ดังนี้1. ทักษะการปรับตัว..ได้แก่-การปรับอารมณ์-การยับยั้งชั่งใจ-การวิเคราะห์ปัญหา.2. ทักษะมนุษยสัมพันธ์..ได้แก่-การสื่อสาร-การเข้าใจผู้อื่น-การขยายตัวตน.โดยต้องใช้ “ทัศนคติเชิงบวก” เพื่อที่จะช่วยพัฒนา 2 ทักษะข้างต้นด้วยการ หาวิธีเพิ่มระดับพื้นฐานความสุขของตัวเอง และควรเสาะหาเพื่อค้นพบจุดแข็งของตัวเอง และพัฒนาจุดแข็งนั้นต่อไปเรื่อยๆ.เราอาจจะเคยได้ยินว่าบางคน ถึงแม้จะเจออุปสรรคอะไร เขาก็ก้าวผ่านมาได้ทุกครั้ง จนกระทั่งประสบความสำเร็จ แต่บางคนกลับทำไม่ได้ อะไรคือความแตกต่างกัน?…หรือคนที่เขาทำสำเร็จ อาจจะมี “พลังแห่งการฟื้นตัว” หรือมี “ทักษะการปรับตัว” & “ทักษะมนุษยสัมพันธ์” ที่ดีเลยทำให้เขาฟื้นตัวได้รวดเร็วกว่าคนอื่นๆ.คนที่เคยล้มมาก่อนเท่านั้นที่จะรู้ว่าต้องลุกขึ้นอย่างไรไปร่วมเรียนรู้ทักษะ 'Resilience' ฝึกฝนการปรับตัว การมีมนุษยสัมพันธ์ และการมีทัศนคติเชิงบวก ไปพร้อมๆ กันได้ใน “RESILIENCE ยืนหยัดได้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”>>> มีจำหน่ายแล้วที่ Naiin.com และ Naiin App ..

โลกใบนี้..มี “กรงขัง” มากมายที่พยายามกักขังให้เรากลายเป็น ‘เด็กดี’ ถูกสั่งสอนให้เชื่อฟังผู้ใหญ่ ห้ามเถียงและเชื่อตามๆ กันไปถูกควบคุมกำหนด ถูกสอนว่าอะไรถูกอะไรผิดอย่างบิดเบี้ยว เพื่อที่จะใช้ชีวิตในบ้านเมือง..ที่มีความฉิบหายเกิดขึ้นไม่เว้นวัน.“UNTAMED อย่ายอม” คือ หนังสือที่จะทำให้เราออกจากกรงขังหรือ การปลุกสิ่งมีชีวิตที่อยู่ข้างใน ตัวตนที่แท้จริงของเราให้ตื่นขึ้นเป็นของตัวเอง ได้ใช้ชีวิต เลือกเส้นทางในแบบที่ต้องการจริงๆ.คุณเกลนน็อน ผู้เขียนเล่มนี้ มีการเล่าเรื่องราวของในแต่ละช่วงชีวิตของตนเองว่าเป็นอย่างไร ตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก เรื่องของการแต่งงาน การมีชีวิตคู่ และมีปัญหาครอบครัว ความรู้สึกไม่เป็นตนเอง จนกระทั่งการก้าวออกจากกรงขังของตนเอง ตอนได้รับการบำบัด ฯลฯ.ตัวอย่างข้อคิดที่ได้ จาก “UNTAMED อย่ายอม” อาทิเช่น- จงรู้สึกทุกสิ่งทุกอย่าง แม้สิ่งนั้นจะคือความเจ็บปวดเพราะความเจ็บปวดจะนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลง-จงนิ่งและเรียนรู้ เพราะคำตอบที่เราต้องการอาจจะอยู่เพียงลมหายใจ ขอเพียงหยุดและเฝ้ามองตนเอง-กล้าจินตนาการ ..เขียนสิ่งที่ต้องการออกมา เปลี่ยนจากคำว่า ‘มันน่าจะเป็นแบบนี้’ เป็น ‘ต้องทำแบบนี้’-สร้างและเผาไหม้ ..พร้อมจะสร้างสิ่งใหม่ๆ เชื่อเรื่องใหม่ๆ ทำเรื่องใหม่ๆ และละทิ้งจากเรื่องเดิมที่เคยเชื่อ- ความกล้าหาญ คือ การทำตามเสียงจากภายในตนเอง.คนที่ชีวิตมีความสุข ต้องการอะไรก็ได้สิ่งนั้น มาอ่านเล่มนี้อาจจะไม่เข้าใจว่านี่มันเรื่องอะไรกัน แต่สำหรับคนที่ผ่านความยากลำบากมาได้ หรือกำลังสับสนในชีวิต และต้องการหาทางออก มีคำถามในใจ ต้องการตัดสินใจเรื่องสำคัญหากคุณอ่านจบ คุณจะเข้าใจผู้เขียนและสัมผัสได้ถึงตัวตนมองเห็นตัวเองผ่านการเล่าเรื่องของคุณเกลนน็อน รู้สึกมีอารมณ์ร่วมไปกับเธอ รู้สึกสนิทกับเธอ อย่างแน่นอน…

ห้ามพลาดจากนิยายกลายเป็นซีรี่ย์นิยายชื่อไทยแบบเป็นทางการคือ ฮัสกี้หน้าโง่กับอาจารย์เหมียวขาวของเขา หรือที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า 2ha (เอ้อร์ฮา) แต่งโดยคุณโร่วเปาปู้ชือโร่ว (Meatbun doesn’t eat meat) ปัจจุบันเป็นของสำนักพิมพ์ Rose“ไอ้คนพวกนี้จะคิดว่าตัวเองเปี่ยมไปด้วยถูกต้องมากเกินไปแล้ว” ประโยคเด็ดจากหนังสือฮัสกี้หน้าโง่กับอาจารย์เหมียวขาวของเขา… เรื่องราวของ 2 หนุ่มลูกศิษย์อาจารย์ โดยโม่หราน ราชันที่ได้รับการเล่าขานเรื่องความโหดเหี้ยมเป็นลูกศิษย์ของฉู่หว่านหนิง ซึ่งหลังจากโม่หราน ปลิดชีพตัวเอง เขากลับได้ย้อนเวลากลับไปในช่วงที่เขาอายุเพียง 16 ปี ถึงอย่างนั้น ความเกลียดชังและความแค้นที่เขามีต่ออาจารย์ฉู่หว่านหนิงก็ยังคงอยู่ แต่สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไปคือ การที่โม่หรานได้รู้ความจริงอะไรหลายๆ อย่างเพิ่มมากขึ้น พร้อมกับความลับต่างๆ ที่ค่อยๆ ปรากฎออกมา ความสัมพันธ์ของศิษย์อาจารย์คู่นี้จะเป็นอย่างไรต่อไป…ห้ามพลาดจากนิยายกลายเป็นซีรี่ย์จีน ตอนนี้ขอพาฮัสกี้หน้าโง่กับอาจารย์เหมียวขาวของเขาเวอร์ชั่นนิยายแปลไทยมาให้แฟนๆ นักอ่านได้จับจองเป็นเจ้าของและอ่านเพื่อเป็นการเรียกน้ำย่อยกันก่อน ราคาตามปก 425 บาท สามารถสั่งซื้อกันได้เลยนะคะ #ซื้อก่อนฟินก่อนน่ะ ^^

ผลงานฝีมือการเขียนของ Yuval Noah Harari นักประวัติศาสตร์ นักปรัชญา, โฮโมดีอุส เจ้าของผลงาน 21 บทเรียนสำหรับศตวรรษที่ 21 หนังสือขายดีระดับโลก ร่วมกับ David Vandermeulen นักเขียนการ์ตูนชื่อดังจากกรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม และ Daniel Casanave นักวาดการ์ตูนมือทองจากอาร์แดน ประเทศฝรั่งเศส พร้อมด้วยทีมผู้เชี่ยวชาญหลากสาขาอีกมากมาย ออกมาเป็นผลงานชื่อว่า SAPIENS เซเปียนส์ ประวัติศาสต์ฉบับกราฟิก: กำเนิดมนุษยชาติ เล่ม 1 เล่มนี้ขึ้นมาหนึ่งแสนปีที่แล้ว เคยมีมนุษย์ถึง 6 สายพันธุ์อาศัยบนโลก แต่ทุกวันนี้เหลือเพียงสายพันธุ์เดียว ‘โฮโมเซเปียนส์’ เกิดอะไรขึ้นกับมนุษย์กลุ่มอื่น และจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเรา เป็นครั้งแรกของหนังสือภาพสีที่ดัดแปลงจากหนังสือสะเทือนโลกของนักประวัติศาสตร์ชื่อดังอย่าง ยูวัล แฮรารี ที่จะมาเล่าเรื่องราวของจุดกำเนิดและวิวัฒนาการของเผ่าพันธุ์มนุษย์ พาไปสำรวจว่าชีววิทยากับประวัติศาสตร์ช่วยนิยามและเสริมสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับ ‘มนุษย์’ มากเพียงใด ตั้งแต่บทบาทของมนุษย์ในนิเวศวิทยาไปจนถึงการผงาดขึ้นมาของจักรวรรดิต่างๆ เซเปียนส์ท้าทายให้เราต้องกลับมาทบทวนความคิดเดิมๆ เสียใหม่ เชื่อมโยงพัฒนาการในอดีตเข้ากับปัญหาของโลกปัจจุบัน และมองเหตุการณ์หนึ่งด้วยภาพรวมความคิดที่ใหญ่ขึ้นห้ามพลาดกับหนังสือการ์ตูนความรู้ ด้วยการสอดแทรกองค์ความรู้ระดับโลก เข้ากับภาพประกอบสีสันชวนให้น่าติดตาม ตั้งแต่บรรทัดแรกจนบรรทัดสุดท้าย จนทำให้หนังสือเล่มนี้กลายเป็นหนังสือที่ใครๆ ก็อ่านเข้าใจได้ ถึงแม้ว่าคุณจะไม่มีพื้นฐานความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ หรือประวัติศาสตร์เลยก็ตาม ซึ่งทำให้ผู้อ่านได้สัมผัสกับสำนวนที่แปลอ่านง่าย เนื้อหากระชับ และรู้สึกสนุกจนจบเล่ม จนแทบจะไม่อยากวางหนังสือเล่มนี้เลยทีเดียว รีบไปจับจองมากองดองได้เลยค่า

เก็บตัว พูดน้อย คอยเป็นผู้ฟัง << หนึ่งในหลายๆ คุณสมบัติที่ค่อนข้างจะชัดเจนสำหรับบุคคลที่ได้ชื่อว่า เป็น “Introvert”.สิ่งเหล่านี้ถือเป็นบุคลิกเฉพาะตัวของเหล่า “มนุษย์อินโทรเวิร์ต” เลยก็ว่าได้ แต่สิ่งที่น่าสนใจที่สุดของหนังสือเล่มนี้ก็คือ …การที่สองสิ่งที่ดูขัดแย้งกัน อย่างกันเป็นมนุษย์ Introvert กับการสร้าง Connection ถูกนำมาเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน นั่นเอง.ทำให้หลายคนอาจจะสงสัยว่า ถ้าเป็นคนที่ไม่ชอบเข้าหาผู้คน ชอบอยู่คนเดียว เกลียดการสร้างความสัมพันธ์ จะหาเพื่อน หรือ หา Connection ได้อย่างไร? หนังสือเล่มนี้ มีคำตอบ.โดยหัวใจหลักของเรื่องทั้งหมด เรียกว่า Super Connectorพูดง่ายๆ คือ คนที่เป็นกุญแจ Key Person ในการเปิดประตูบานอื่นๆ ไปหาคนอื่นๆ ..เขาจะรู้ว่า ต้องเข้าหาผู้คนยังไง วางตัวเก่ง เข้ากับคนอื่นได้ง่าย และที่สำคัญที่สุดคือ เขาจะช่วยให้เรารู้จักคนอื่นๆ ต่อไปอีกหลายๆทอด ต่อยอดไปอีก.หนังสือยังแนะนำให้หาเพื่อนสัก 3 คน เพื่อเพิ่มความสุขให้กับชีวิตเช่น หากเรามีเพื่อนที่ทำงานที่ดี แล้วคนเราจะพอใจกับเงินเดือนเพิ่มมากขึ้น หรือคนที่สร้าง Connection ทั้งจากภายในและภายนอกของบริษัท มักจะก้าวหน้าในหน้าที่การงาน และมีรายได้มากขึ้น.อีกสิ่งที่เป็นข้อคิดสำคัญ ก็คือ “มองให้ออกว่าคนไหนไม่ควรยุ่ง” แน่นอนว่า มีคนที่เลือกเข้าหาแล้ว ก็ต้องมีคนที่เลือกถอยห่างออกมา เช่น พวกคนที่ชอบสร้างแบรนด์ให้ตัวเองเยอะๆ แต่ความจริงแล้วคือ พวกโอ้อวด มั่นใจในตัวเองเกินไป และพยายามหลีกเลี่ยงพวกที่ชอบสร้างความปั่นป่วน หรือพวกที่ชอบพูดจาแง่ลบกับคนอื่น.สุดท้าย เมื่อเราปรับมุมมองทางความคิดได้ นั่นจึงมีโอกาสสูงที่จะนำไปสู่ “การลงมือทำ” ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากกว่าทฤษฎีทั้งหมด

ผลงานของ "ทรงกลด บางยี่ขัน" บรรณาธิการบริหารของนิตยสาร a day และผู้ก่อตั้งนิตยสารออนไลน์ชื่อ The Cloud และอีกบทบาทหนึ่งคือการเป็นเจ้าของพ็อกเก็ตบุ๊ก ซึ่งมีกลิ่นอายของความอุ่น เหงา และโรแมนติก ถึง 4 เล่ม หนังสือของนักเขียนที่เรียกได้ว่าเป็นนายของภาษาอย่างแท้จริง ทุกบทมีการใช้คำศัพท์ คำพ้อง รูปแบบการเขียน ที่ทำให้รู้สึกอ่านแล้วลื่นไหล และทำให้จินตนาการตามได้ไม่ยากงานเล่มนี้กลับมาตีพิมพ์ใหม่อีกครั้ง โดยเพิ่มตอนใหม่หนึ่งตอน และบวกด้วยตอนพิเศษอีกหนึ่งตอน หากเคยอ่านงานของทรงกลดมาแล้ว จะไม่สงสัยเลยว่าทั้งที่เป็นเรื่องราวซึ่งเกิดขึ้นในอดีต แต่ทำไมมันยังคงทำให้ทุกคนที่หยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาอ่านยิ้มได้…101 เรื่องราวในหนังสือเล่มนี้ เกิดจากการรวบรวมบทความของผู้เขียนตลอดระยะเวลาสิบปี (พ.ศ. 2545 – 2555) จนกลายเป็นหนังสือเรื่อง นายเท้าซ้าย เด็กชายเท้าขวา และ นั่งฝั่งตะวันตื่น ยืนฝั่งตะวันตก บวกด้วยเรื่องราวที่เขียนขึ้นใหม่ ณ เวลานั้น ก่อนจะเกิดเป็นหนังสือชื่อ โปรดอ่านใต้แสงเทียน เพราะผมเขียนใต้แสงดาว แม้ว่าบางเรื่องจะไปสะกิดต่อมนํ้าตาให้ผลิตนํ้าใสๆ เอ่อออกมาหากให้นิยามหนังสือเล่มนี้ก็คงเป็นคำว่า หวานปนเศร้าเคล้าความอุ่นและหวนให้คิดถึงวันวานฉบับพิมพ์ครั้งที่ 11 นี้ มีปลอกหุ้มหนังสือให้ทุกเล่ม คนที่ตามหาและสายสะสมห้ามพลาดเด็ดขาด! 

“ข้อมูล” คำสั้นๆ คำเดียวแต่มีมูลค่ามหาศาลเป็นแบบนี้ในทุกยุคสมัย ไม่ว่าจะสงครามจริงจนไปถึงสงครามทางการตลาด ก็ด้วยเช่นกัน....โดยเฉพาะในปัจจุบัน “ข้อมูล” เปรียบดั่ง นํ้ามัน หรือ ทองคำ แห่งยุค 5.0 ก็ว่าได้..สำหรับคนที่รู้จักใช้ข้อมูล หรือ Data ที่มีในการทำธุรกิจ หรือวางแผนกลยุทธ์ต่างๆย่อมได้เปรียบมากกว่าเจ้าอื่นๆ หลายเท่าตัว.วันนี้ขอพาไปพบกับอีกหนึ่งทางรอดแห่งยุคสำหรับคนทำงานด้านออนไลน์ และอาจได้ยอดขายเพิ่มขึ้น!.มาทำความรู้จักกันก่อน! กับ Concept ของ Data Thinkingส่วนผสมระหว่าง Design Thinking กับ Data Scienceคือ คนที่มีทั้งศาสตร์และศิลป์ ต้องมองออก อ่านข้อมูลเป็น วิเคราะห์ต่อยอดได้ บวกกับมีความคิดสร้างสรรค์ ผ่านการทำแคมเปญด้านการตลาด (ออกแบบแคมเปญเพื่อเก็บ Data ให้ได้) นั่นเอง.สำหรับคนที่อยากเริ่มต้น หรือไม่รู้ว่าจะเก็บข้อมูล อย่างไรก่อนดี.. ให้ตอบคำถามสองข้อที่ว่า 1. อยากรู้เรื่องอะไร (เช่น ยอดขาย , ลูกค้า , ช่วงเวลา ,ช่องทาง) 2. ในปัจจุบัน เรามีข้อมูลอะไรอยู่บ้างและเคล็ดลับที่ง่ายที่สุด คือ การเริ่มแมชท์ดาต้าที่มีอยู่ในมือ เข้ากับสิ่งที่ต้องการทราบ ถ้าเรามีก็นำไปใช้ทำแคมเปญได้เลยไม่ต้องไปเสียเวลา ออกแบบหรือวิเคราะห์ เพื่อเก็บดาต้า.อีกหัวข้อหนึ่งที่ถ้านักการตลาดรู้ จะเหมือนเสือติดปีกเพราะมันสามารถเอาไปประยุกต์ใช้ได้กับทุกงาน นั่นคือ Data Marketing Framework 5 ขั้นตอน หรือ CPVAIC = Collect เก็บข้อมูล P = Data preparation เตรียมข้อมูลV = Visualization เปลี่ยนข้อมูลให้เป็นภาพA = Analyze วิเคราะห์ข้อมูลI  = Implementation นำไปใช้งาน.อ่านต่อ...วิธีการใช้งานทั้ง 5 ขั้นตอน อย่างละเอียดได้ที่DATA THINKING ทำธุรกิจให้รุ่ง ยอดขายพุ่งด้วยดาต้า.หนังสือเล่มนี้ นับเป็นเนื้อหาทางการตลาด ที่มีตัวอย่างและกรณีศึกษาใกล้ตัว รวมไปถึงแบรนด์ดังระดับโลกเขียนโดย Influencer ชื่อดัง เจ้าของเพจการตลาดวันละตอนและการันตีจากสำนักพิมพ์ Amarin How-To.จำไว้เสมอว่า >>> การขายของออนไลน์ย่อมมีข้อมูลหลังบ้าน และถ้าเราหยิบมาใช้ได้ใช้ให้เป็น ยอดขายก็จะเติบโตขึ้นอีกหลายเท่า!

น้องสาวของผู้มีอำนาจคนหนึ่งยอมสละหัวใจของตัวเองเปลี่ยนให้พี่ชายฝาแฝด เพื่อให้เขาเป็นกำลังให้แก่แผ่นดินต่อไป หลังแข็งแรงดีแล้ว พี่ชายจึงขอให้นักบวช 8 คนใช้ตบะหลายร้อยปีสวดส่งวิญญาณของน้องสาวให้ไปสู่สุคติภพ โดยเอาหนังสือเล่มที่นางอ่านล่าสุดมาเป็นแนวทางให้กับพวกเขา โดยหารู้ไม่ว่าหนังสือเล่มนั้น แม่นมของน้องสาวแค่ซื้อมาให้อ่านเล่นและตัวเอกมีชะตาน่าอนาถมาก เพราะนางเป็นบุตรสาวพ่อค้าที่ถูกสลับตัวเข้าไปในจวนท่านโหวที่ถูกโจรฆ่าตาย ทำให้ถูกกล่าวหาว่าเป็นบุตรสาวที่มีดวงสังหารครอบครัว ยิ่งภายหลัง เมื่อครอบครัวท่านโหวรู้ว่าอุ้มเด็กมาเลี้ยงผิดคน นางก็ถูกกดฐานะให้ต่ำลง และสูญเสียขาทั้งสองข้าง... นั้นคือจุดเริ่มต้นของความบังเอิญบังเอิญว่า หนังสือเล่มนี้เป็นนิยายรักน้ำเน่าบังเอิญว่า นางร้ายของเรื่องมีชื่อแซ่เดียวกันกับ #อวี๋เซียงบังเอิญยิ่งกว่านั้น ยังขาพิการตั้งแต่ยังเด็กเหมือนอวี๋เซียงไม่ผิดเพี้ยน ไม่ต้องเสียเวลาคิดก็รู้ ไม่ว่าจะเป็นด้านจิตวิญญาณหรือสุขภาพร่างกายคนทั้งคู่มีโอกาสหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว!“นี่มันวันซวยของเธออวี๋เซียงหรืออย่างไร!ภพก่อนประสบเคราะห์กรรมตั้งมากมายไม่ง่ายเลยกว่าจะได้เกิดชาติใหม่ภพใหม่ สุดท้ายกลับต้องเกิดใหม่ในร่างที่ไม่สมบูรณ์ นั่นยังพอทำใจได้ แต่ที่ทำให้เธอโมโหที่สุดก็คือ...เธอหลงเข้ามาอยู่ในนิยาย ทั้งยังได้รับบทเป็นตัวละครสมทบหญิงที่ซวยที่สุดในโลก!”น้องอินทร์ขอรีวิวว่าเป็นนิยายรักที่พล็อตเรื่อง เข้มข้น เฉือดเชือน ตื่นเต้น ชวนลุ้น เหนือการคาดเดา นางเอก ฉลาด เก่ง ทันคน ไม่น่ารำคาญ และมียอดคะแนน 1,638 ล้านคะแนน ในเว็บไซต์จิ้นเจียง  ที่สำคัญมีการซื้อลิขสิทธิ์ไปทำซีรี่ส์แล้วน่ะ...บอกได้ว่าเล่มนี้ต้องห้ามพลาด  

OKR คืออะไร? OKR ย่อมาจาก Objective and Key Results    เป็นหนึ่งในวิธีการตั้งเป้าหมายเพื่อวัดผลความสำเร็จ…แล้วมันต่างจาก KPI อย่างไร? (ถามแทนใจผู้อ่าน)    - KPI จะถูกตั้งโดยผู้บริหารระดับสูงขององค์กรเป็นหลัก แนวคิดเป็นแบบ Top-Down       แต่ OKRs จะให้พนักงานมีส่วนร่วมในการตั้งเป้าหมายได้เอง       ผสมผสานกันระหว่างความคิดเห็นของพนักงานที่ปฎิบัติงานเป็นส่วนใหญ่  -  KPI จะคงรูปแบบตัวเลขเดิมไว้ตามที่ตกลง ควบคุมผลลัพธ์เบ็ดเสร็จ     เน้นการตั้งเป้าแบบ 100%  ส่วน OKRs สามารถเปลี่ยนแปลงยืดหยุ่นได้      และจะตั้งเป้าไว้ที่ 60-70% เพื่อให้พนักงานมีแรงขับเคลื่อน   - KPI มีผลโดยตรงต่อผลตอบแทนที่พนักงานได้รับ และมักใช้ในการทำงาน     ส่วน OKRs ไม่เกี่ยวกับการได้ หรือไม่ได้รับรางวัล แต่เป็นการทำเพื่อเรียนรู้     และพัฒนาสามารถใช้ในชีวิตประจำวันได้ เช่น      การตั้งเป้าเรื่อง สุขภาพ และการออกกำลังกายทำไมต้องใช้ OKRs?เพราะว่าที่ผ่านมา พวกเราอาจจะมีการตั้งเป้าหมายในชีวิตที่ไม่ตอบโจทย์ เช่นตั้งเป้ามากเกินไป ยากเกินไป, ไม่รู้ว่าตั้งเป้าไปทำไม, ไม่ติดตามความก้าวหน้า, ตั้งเป้าง่ายเกินไป...ซึ่งหนังสือเล่มนี้ ไม่เพียงแต่แนะนำเรื่อง OKRs ในองค์กรเท่านั้น แต่หลักการPersonal OKRs ของศาสตราจารย์ ดร. นภดล ร่มโพธิ์ ยังมุ่งเน้นไปที่การปรับใช้ ORKs กับชีวิตประจำวันของเรา เป็นการทำเพื่อพัฒนาตนเองแบบไม่ตึงเครียดจนเกินไป…..ส่วนวิธีการเขียน OKRs ใน ver. ตัวคุณ นั้น  ผู้เขียนได้มีการยกตัวอย่างในหนังสืออย่างละเอียด สามารถทำตามได้ทันที สำหรับผู้ที่ต้องการความท้าทายใหม่ๆ เพื่อบรรลุความสำเร็จในชีวิต ห้ามพลาด..!

ร้านขายสัตว์เลี้ยงแห่งหนึ่ง เปิดให้บริการเช่าแมวโดยมีแมวทั้งหมด 7 ตัว ทุกตัวเป็นแมวฉลาดที่ถูกฝึกให้อยู่กับผ้าห่มที่ติดตัวมันมาตั้งแต่เกิด ถ้ามีผ้าห่มนี้ ไม่ว่าจะเดินทางไปที่ไหน มันจะนอนหลับได้อย่างสบายใจ โดยสามารถเช่าแมวเหล่านี้ได้ 3 วัน 2 คืน เท่านั้น หากเกิน 3 วัน ผู้เช่าจะรู้สึกผูกพัน และ ไม่อนุญาติให้ซื้อแมว หรือ ถ้าต้องการเช่าแมวตัวเดิม ตามกฏแล้วต้องเว้นไปอย่างน้อย 1 เดือน “จะอย่างไรก็เป็นแค่การเช่าน่ะครับ” น้ำเสียงสงบของผู้จัดการจะแฝงความเฉียบขาดไว้แม้ราคาค่าเช่าค่อนข้างสูง บวกกับค่ามัดจำ สามารถซื้อลูกแมวพันธุ์แท้ ในร้านได้เลย ถึงอย่างไรนั้นทางร้านก็ไม่เคยขาดคนเช่าหนังสือเรื่อง ขอให้แมวโอบกอดคุณ เป็นร้านบริการเช่าแมว เรื่องราวของแมว ทั้ง 7 ตัว ที่มีหลากหลายสายพันธุ์ และ นิสัยของแมวแต่ละตัวก็แตกต่างกัน และยังมีกฏ 4 ข้อ ที่คนรักแมวต้องยอมทำตามซึ่งแมวที่ได้รับการคัดเลือกให้ไปอยู่กับผู้เช่านั้น เจ้าของร้านจะเรียกพวกมันว่า “แบล็งเก็ตแคตส์ (Blanket Cats)”เนื่อเรื่องสนุกขนาดนี้ ทาสแมวพลาดเล่มนี้ไม่ได้จริง ๆ

นิยายวายจีนแปลจากอึนลู่ซิง ที่ใครได้อ่านก็ต้องพูดตรงกันว่าน่ารักสุดๆฟีโรโมนของนายกับฉันเข้ากันได้ 99% เป็นนิยายวายแนว Omegaverse ฟีลกู้ดใสๆ วัยมัธยมเมื่อ ต้วนเจียเหยี่ยน เบต้าบิ๊กบอสห้าวด่องๆ หัวโจกประจำโรงเรียนพบว่าอยู่ดีๆ ร่างกายก็แปลกๆ อ่อนแอขึ้นมากะทันหัน จนไปตรวจแล้วพบว่าที่จริงแล้วตนเองเป็นโอเมก้า แถมยังแพ้ฮอร์โมนอัลฟ่าอีกโชคดีที่มี ลู่ซิงฉือ หัวหน้าห้องคนเก่งแถมยังนิสัยดีเยี่ยม และแจ็กพ็อตเป็นอัลฟ่าที่มีฮอร์โมนเข้ากับต้วนเจี่ยเหยี่ยนได้ ทำให้ทั้งคู่ต้องมาใกล้ชิดดูแลกัน และความหวั่นไหวก็เริ่มเกิดขึ้น!บอกเลยว่าเรื่องนี้บรรยากาศสดใส ให้พลังบวกม้ากกก ไม่ได้มีเฉพาะเรื่องความรักกุ๊กกิ๊ก แต่ยังมีเรื่องเพื่อน และเรื่องการสอบเข้ามหาวิทยาลัยด้วย ใครชอบสายนายเอกห้าวๆ พระเอกคลั่งรัก พลาดไม่ได้เด็ดขาด

พบกับชุดหนังสือ Boxed Set : The Hunger Games ที่มียอดขายรวมกันกว่า 70 ล้านเล่มทั่วโลก กับหนังสือไตรภาคที่ขายดีที่สุดในอเมริกาที่ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนต์เเฟนตาซีฟอร์มยักษ์ ทุนสร้างกว่า 2,000 ล้านบาท  ที่มาพร้อมนิยายปฐมบทลำนำแห่งนกร้องเพลงและอสรพิษ นิยายที่เล่าถึงเหตุการณ์ก่อนมหากาพย์นิยายแฟนตาซีชุด เกมล่าชีวิต หรือ The Hunger Games เล่มแรกถึง 64 ปี และเป็นนิยายเล่มล่าสุดของซูซานน์ คอลลินส์ นักเขียนนิยายชื่อดังเรื่องราวเกี่ยวกับคอริโอเลนัส สโนว์ ที่หลายคนคงจำได้ดีในมาดของประธานาธิบดีแห่งพาเน็มผู้ทรงอำนาจ ซึ่งในครั้งนี้คอริโอเลนัสที่อายุเพียง 18 ปี ต้องเข้าร่วมเกมล่าชีวิตครั้งที่ 10 ในฐานะที่ปรึกษาและต้องจับคู่กับบรรณาการจากเขตปกครองสุดล้าหลังอย่างเขต 12

แคตนิส เอฟเวอร์ดีน รอดตายจากเกมล่าชีวิต แต่ตอนนี้แคปิตอลต้องการแก้แค้นเธอ แม้ต้องผ่านอุปสรรคมามากมาย แคตนิส เอฟเวอร์ดีน และพีต้า เมลลาร์ก ก็รอดชีวิตมาได้ แคตนิสควรจะโล่งใจ แต่กลับมีเสียงกระซิบของการก่อกบฏที่มีต่อแคปิตอล กบฏที่แคตนิสและพีต้าอาจช่วยกันสร้างขึ้นมา ในขระที่ทั้งประเทศกำลังเฝ้าดูแคตนิสและพีต้า เงินเดิมพันก็พุ่งทะยานสูงขึ้นกว่าเดิม การกระทำที่ผิดพลาดเพียงครั้งเดียวส่งผลให้สิ่งที่ตามมาเกินจะจินตนาการได้

คู่มือทำธุรกิจร้านอาหารสำหรับผู้สนใจทั้งมือเก่า มือใหม่โดยผู้มีประสบการณ์กว่า 20 ปี ในวงการอุตสาหกรรมอาหาร.ก่อนอื่นไปพบกับตัวช่วยชี้วัดว่าพร้อมจริงไหม? ที่จะเปิดร้านฯ …ในการทำร้านอาหารมีองค์ประกอบอยู่หลายอย่างด้วยกัน ตั้งแต่เริ่มต้นทำร้านอาหารต้องมองตลาดว่า คนที่จะมาเป็นลูกค้าเราเป็นใคร มีลักษณะอย่างไร ต่อมาก็หาทำเลที่ตั้งที่คิดว่าเหมาะสมจะเปิดร้าน คิดเอกลักษณ์ สร้างจุดเด่นร้านเพื่อดึงดูดลูกค้า พร้อมกับวางแผนการตลาดให้สอดคล้องกัน .จะเห็นได้ว่าองค์ประกอบของธุรกิจร้านอาหาร มีรายละเอียดเยอะมาก และมีเรื่องพื้นฐานที่มีความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ ซึ่งอาจเป็นตัวกำหนดว่าร้านของคุณจะ “ไม่รอด” หรือ “ไปต่อ” ได้เลย.“Restaurant Management สูตรสำเร็จเปิดร้านอาหารอย่างเป็นระบบ”เล่มนี้ เต็มไปด้วยเทคนิคในการทำร้านอาหาร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ-ต้นทุนของร้าน เช่น Food Cost ควรอยู่ที่ 30% Labor Cost 20%-การทำคู่มือการทำงาน SOP เช่น วิธีการเสิร์ฟ วิธีการบริการ -โครงสร้างภายในร้าน เช่น ฝ่ายบริหารและฝ่ายลงมือทำ-เรื่องงานในครัว เช่น ครัวควรมีเนื้อที่ประมาณ 25-30% ของพื้นที่ร้าน-QSC การควบคุมและการประเมินผลการทำงานของร้าน.อีกทั้งยังมีเรื่องของการขายอาหาร Street Food ให้ประสบความสำเร็จ รวมถึงการรับมือในยามวิกฤตของธุรกิจร้านอาหาร หนังสือเล่มนี้จึงเหมาะสำหรับทุกคนที่สนใจทำร้านอาหารให้เป็นระบบ >>> มีจำหน่ายแล้วที่ Naiin.com และ Naiin App ..

ดุจดวงดาวเกียรติยศ นิยาย วัยใสเล่มนี้ เป็นผลงานของกู้ม่าน ที่หลายเรื่องของนามปากกานี้ถูกนำมาทำเป็นซีรี่ส์เยอะมาก ซึ่ง You’re My Glory ก็เหมือนกัน แว่วมาว่าซีรี่ส์ก็กำลังจะออนแอร์น้า แต่ก็แอบกระซิบว่าใกล้จะจบแล้วด้วยน้าทุกคน ต้องรีบตามอ่านให้ทันแล้วน้าYou Are My Glory นิยาย ...เรื่องราวความรักของวิศวกรการบินและอวกาศและดาราสาวชื่อดัง เฉียวจิงจิง (ตี๋ลี่เร่อปา) เป็นนักแสดงสาวสวยและมากความสามารถ แต่ใครจะไปรู้ว่าคนสวยๆ อย่างเธอในสมัยมัธยมเคยโดยผู้ชายที่แอบชอบปฏิเสธการสารภาพรักมาแล้ว ซึ่งทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เริ่มจากการเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนที่ไม่เคยคุยกัน มาเป็นเพื่อนเล่นเกมในโลกออนไลน์ และมาเป็นคนสอนเกมในชีวิตจริง ผ่านเรื่องราว ผ่านความสัมพันธ์ทั้งดีและไม่ดีร่วมกันมาระยะหนึ่ง จนพระเอกเริ่มรู้ตัวว่าความรู้สึกของเขาไม่เหมือนเดิม และไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต แต่ด้วยความเป็นเด็กเนิร์ด ใช้สมองมากกว่าหัวใจ แล้วก็ไม่ปรึกษาใคร แต่ยังดีที่ในหัวของพระเอกไม่บื้อจนเกินไป ส่วนนางเอกก็เป็นคนน่ารักเข้าใจพระเอกตลอดเวลา เลยทำให้เรื่องราวจบลงด้วยความน่ารักและความอบอุ่นในใจ ตามไปจิ้นและฟินต่อได้เลยจ้า ห้ามพลาดน้าทุกคน ^^

ก่อนจะอ่านเล่มนี้ ขอเตือนว่าเตรียมปอดไว้ให้ดี เพราะมีขำจนปอดโยกแน่!Cutie Pie นิ่งเฮียก็หาว่าซื่อ ว่าด้วยเรื่องของ "หนูเกื้อ" และ "เฮียกิเลน" ที่ถูกจับดอง จับหมั้นหมายกันไว้ตั้งแต่เด็ก กระทั่งโตขึ้นมา น้องเกื้อก็เป็นหนุ่มน้อยน่ารัก เรียบร้อย มองจากปากซอยยังรู้ว่าเป็นผู้ดี ส่วนเฮียเกื้อนั้นก็กลายเป็นหนุ่มหล่อเนี้ยบ นักธุรกิจตัวท็อป ดูเผินๆ แล้วเอ้า! นี่มันกิ่งทองใบหยก!แต่ๆๆๆ ถ้าแค่นี้แล้วจบก็ไม่สนุกสิคะ! เพราะแท้จริงแล้ว "หนูเกื้อ" ลับหลังสายตาผู้ใหญ่นั้นมีความหักมุม ชนิดพลิกจากหน้ามือเป็นหลังเท้า เพราะร่างที่แท้จริงของหนูเกื้อนั้นห่ามแบบขั้นสุด ชอบตีกลอง ซิ่งมอไซค์ แถมคบหาเพื่อนแต่ละคนนี้ โอ๊ยยยยย เหมือนไปเมคเฟรนด์กันในขุมนรกความ contrast ของตัวเองทำให้หนูเกื้อเริ่มหวั่นใจ จะแอ๊บบ่อยๆ มันก็เหนื่อย เลยตัดสินใจบอกเลิกเฮียกิเลนซะ! หารู้ไม่ว่าจริงๆ เฮียรู้ธาตุแท้ของหนูเกื้ออยู่แล้ว แถมยังชอบซะด้วย เอาสิ!!!!เรื่องราวของเด็กแสบและเฮียของเขาจะเป็นยังไงต่อคงเล่ามากกว่านี้ไม่ได้แล้วเพราะอยากให้ติดตาม แต่รับประกันความฮาจนกรามค้าง โดยเฉพาะเวลาแก๊งเพื่อนหนูเกื้อโผล่มา กินน้ำรอไว้เลยจ้า 3 ลิตร เพราะได้มีหัวเราะจนคอแห้งแน่ๆที่สำคัญ! เรื่องนี้กำลังจะได้ทำเป็นซีรีส์แล้วนะ อ่านก่อนฟินก่อนได้เลยที่ Naiin.com และ Naiin App มีทั้งรูปแบบหนังสือและ E-Book ถนัดแบบไหนเลือกแบบนั้นได้เลย Cutie Pie นิ่งเฮียก็หาว่าซื่อ อ่านแล้วอย่าลืมเข้าไปกดดาวและรีวิวให้หนูเกื้อและเฮียกิเลนบ้างนะ

 “คิดต่างสร้างการเปลี่ยนแปลง” หนังสือที่จะชวนเพื่อน ๆ นักอ่านให้ครุ่นคิดเรื่องราวหลากหลายประเด็น ไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่ปัญหาคลาสสิคอย่าง ฝนตก รถติด น้ำท่วม จนกระทั่งเรื่อง สถานการณ์โลกหลังโควิด-19 การแพทย์ การศึกษาไทย ที่จะชี้ให้เห็นถึงปัญหา เสนอแนวทางแก้อย่างยั่งยืนน้องอินทร์ขอชวนเพื่อน ๆ นักอ่าน หยิบหนังสือ  “คิดต่างสร้างการเปลี่ยนแปลง” ร่วมกันอ่าน ร่วมคิดต่างเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงกันนะครับ

>>“อยากเจอเพื่อนแท้สักคนในที่ทำงานจัง” <<สมัยก่อนอาจจะมีคนเคยบ่นแบบนี้ แต่ในปัจจุบันคงไม่มีแล้วเพราะคนส่วนใหญ่ตระหนักกันดีว่า…ในที่ทำงานนั้น อย่าว่าแต่จะหาเพื่อนแท้เลย หาคนที่สามารถเรียกได้ว่า “เพื่อน” ให้ได้ก่อน.หนึ่งในเรื่องที่ทำให้คนเราเหนื่อยล้ากันจากที่ทำงานมากๆ ก็คือ>>ความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน<< สาเหตุอาจจะมาจาก บางคนที่มีความอ่อนไหวกับกิริยาท่าทาง และสายตาของคนอื่นมากๆ คนเหล่านี้มักจะพยายามอ่านและวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้อื่นอยู่เสมอ ทำให้คิดมาก เก็บไปกังวล เกี่ยวกับการกระทำของเพื่อนร่วมงาน ส่งผลให้เกิดความกดดัน บ้างก็เกิดอารมณ์ไม่อยากทำงานอีกด้วย.หนังสือ “คนเก่งเขาก็ทำงานให้ง่ายแบบนี้แหละ” กำลังจะบอกว่า..คนที่มี Performance การทำงานระดับ Top นั้น มักจะรักษาระยะห่างกับเพื่อนร่วมงานพอสมควร และไม่หวั่นไหวไปกับคำพูด หรือการกระทำของใครทั้งสิ้น อีกทั้งพวกเขาจะไม่พยายาม เป็นคนดีในสายตาทุกคน เพราะมันไม่มีทางที่จะเป็นไปได้อยู่แล้ว ไม่ต้องไปคิดตีความให้ซับซ้อน.ผู้เขียน ปาร์คโซยอน ได้คลุกคลีกับคนที่ทำงานเก่งๆ มามากมาย จนสรุปได้ว่า พวกเขาเหล่านั้นสามารถจัดการงานทุกอย่างที่ยาก ได้อย่างง่ายดาย ไม่ประสาทเสีย แถมยังมีเวลาและพลังงานเหลือเฟือไปทำสิ่งที่ชอบอีกด้วย …หากให้ยกตัวอย่าง ข้อคิดหรือวิธีการ เช่น.-สื่อสารอธิบายคำสั่งงานให้ชัดเจน อย่าอ้อมค้อม ว่าต้องการจะทำอะไร และทำไปทำไม หากสงสัยให้ถามการถามตรงๆ ดีกว่าการที่มานั่งเกรงใจกัน-เวลาทำงานให้นึกถึงและหาผู้มีอำนาจตัดสินใจให้เจอ-กล้าปฏิเสธคำขอที่น่าหนักใจบ้าง หรือกล้าบอกเพื่อนร่วมงาน ให้เข้าใจถึงเส้นที่ห้ามล้ำเข้ามา-แบ่งเวลาชีวิตส่วนตัว กับการทำงานให้ชัด.สำหรับใครที่รู้สึกว่า การทำงานไม่ค่อยราบรื่น …ได้ผลลัพธ์ของงานที่ไม่น่าพึงพอใจนัก แถมยังต้องใช้เวลาและพลังงานชีวิตเป็นอย่างมาก..จะต้องถูกใจหนังสือเล่มนี้อย่างแน่นอน เพราะได้เผยความลับของคนที่ทำงานเก่ง ..ที่พวกเขาเลือกให้ความสำคัญกับสิ่งที่จำเป็น เพื่อประหยัดเวลาในการทำงานให้มากที่สุด ซึ่งพอคุณมีเวลาว่างเหลือคุณก็สามาถไปทำสิ่งอื่นๆ ได้ โดยที่ไม่ทำให้ประสิทธิภาพของงานน้อยลง

“ทำอย่างไรถึงจะมีความสุข?“หนังสือเล่มนี้พูดในหลายแง่มุม สำหรับการหาคำตอบดังกล่าวปัจจัยหนึ่งที่ผู้เขียนเน้นมาโดยตลอดเลยก็ คือ ...ความสุขนั้นสร้างได้ด้วยตัวเอง...ทุกๆอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิต ไม่ว่าจะดีหรือร้ายนั้นได้ หล่อหลอม รวมเป็นตัวของเราเองในปัจจุบันและสิ่งที่กำลังจะเข้ามาในอนาคต ก็จะทำให้เราได้เรียนรู้ชีวิตอยู่ตลอดเวลา กลายเป็นเราในเวอร์ชั่นที่ดียิ่งๆขึ้นไป..“โตขึ้นมาเป็นความสุข" เล่มนี้ทำให้เราได้สำรวจเส้นทางชีวิตของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น ด้านสุขภาพ ทั้งกายและใจ ด้านชีวิตส่วนตัว ครอบครัว การทำงาน รวมไปถึงความสัมพันธ์กับคนรอบข้างตัวเรา..ตัวอย่างที่หยิบยกมาได้ง่ายที่สุดคือ ประโยคที่เรามักถูกถามกันตอนเป็นเด็ก...“โตขึ้นมาอยากเป็นอะไร?”..ซึ่งคำตอบของหลายคนในตอนนั้นก็คงตอบตามแต่จะคิดขึ้นมาได้บางคนอยากเป็นครู บางคนอยากเป็นดาราบางคนอยากเป็นตำรวจ บางคนอยากเป็นหมอแต่พอโตขึ้นมาจริงๆ เส้นทางชีวิตอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงแตกต่างกันไปพอได้เรียนรู้ชีวิต ว่ามีอาชีพต่างๆ อีกมากมายทั้งคนที่มีโอกาสได้ลองทำแล้วชื่นชอบและคนที่ไม่ได้ชอบ แต่จำเป็นต้องทำงานเหล่านั้น…อาชีพที่เรียนมา อาชีพที่ครอบครัวอยากให้ทำสุดท้ายเราก็พบว่า พอโตขึ้นมาแล้วไม่มีความสุข..พึงระลึกไว้เสมอว่า ชีวิตนี้ยังเป็นของเรา ไม่ใช่ของใคร และไม่มีอะไรที่เราทำไปแล้ว นับเป็นความล้มเหลวในภายหลัง.และถ้าย้อนเวลากลับไปได้ หลายคนก็คงจะตอบว่า “โตขึ้น อยากเป็นคนที่มีความสุข..” ไม่ว่าจะทำอาชีพอะไรก็ตาม.ทางรีวิวบุ๊คเมทหวังว่า ทุกคนจะเป็นคนที่มีความสุขหากได้อ่านหนังสือเล่มนี้นะครับ..