“ข้อมูล” คำสั้นๆ คำเดียวแต่มีมูลค่ามหาศาลเป็นแบบนี้ในทุกยุคสมัย ไม่ว่าจะสงครามจริงจนไปถึงสงครามทางการตลาด ก็ด้วยเช่นกัน....โดยเฉพาะในปัจจุบัน “ข้อมูล” เปรียบดั่ง นํ้ามัน หรือ ทองคำ แห่งยุค 5.0 ก็ว่าได้..สำหรับคนที่รู้จักใช้ข้อมูล หรือ Data ที่มีในการทำธุรกิจ หรือวางแผนกลยุทธ์ต่างๆย่อมได้เปรียบมากกว่าเจ้าอื่นๆ หลายเท่าตัว.วันนี้ขอพาไปพบกับอีกหนึ่งทางรอดแห่งยุคสำหรับคนทำงานด้านออนไลน์ และอาจได้ยอดขายเพิ่มขึ้น!.มาทำความรู้จักกันก่อน! กับ Concept ของ Data Thinkingส่วนผสมระหว่าง Design Thinking กับ Data Scienceคือ คนที่มีทั้งศาสตร์และศิลป์ ต้องมองออก อ่านข้อมูลเป็น วิเคราะห์ต่อยอดได้ บวกกับมีความคิดสร้างสรรค์ ผ่านการทำแคมเปญด้านการตลาด (ออกแบบแคมเปญเพื่อเก็บ Data ให้ได้) นั่นเอง.สำหรับคนที่อยากเริ่มต้น หรือไม่รู้ว่าจะเก็บข้อมูล อย่างไรก่อนดี.. ให้ตอบคำถามสองข้อที่ว่า 1. อยากรู้เรื่องอะไร (เช่น ยอดขาย , ลูกค้า , ช่วงเวลา ,ช่องทาง) 2. ในปัจจุบัน เรามีข้อมูลอะไรอยู่บ้างและเคล็ดลับที่ง่ายที่สุด คือ การเริ่มแมชท์ดาต้าที่มีอยู่ในมือ เข้ากับสิ่งที่ต้องการทราบ ถ้าเรามีก็นำไปใช้ทำแคมเปญได้เลยไม่ต้องไปเสียเวลา ออกแบบหรือวิเคราะห์ เพื่อเก็บดาต้า.อีกหัวข้อหนึ่งที่ถ้านักการตลาดรู้ จะเหมือนเสือติดปีกเพราะมันสามารถเอาไปประยุกต์ใช้ได้กับทุกงาน นั่นคือ Data Marketing Framework 5 ขั้นตอน หรือ CPVAIC = Collect เก็บข้อมูล P = Data preparation เตรียมข้อมูลV = Visualization เปลี่ยนข้อมูลให้เป็นภาพA = Analyze วิเคราะห์ข้อมูลI  = Implementation นำไปใช้งาน.อ่านต่อ...วิธีการใช้งานทั้ง 5 ขั้นตอน อย่างละเอียดได้ที่DATA THINKING ทำธุรกิจให้รุ่ง ยอดขายพุ่งด้วยดาต้า.หนังสือเล่มนี้ นับเป็นเนื้อหาทางการตลาด ที่มีตัวอย่างและกรณีศึกษาใกล้ตัว รวมไปถึงแบรนด์ดังระดับโลกเขียนโดย Influencer ชื่อดัง เจ้าของเพจการตลาดวันละตอนและการันตีจากสำนักพิมพ์ Amarin How-To.จำไว้เสมอว่า >>> การขายของออนไลน์ย่อมมีข้อมูลหลังบ้าน และถ้าเราหยิบมาใช้ได้ใช้ให้เป็น ยอดขายก็จะเติบโตขึ้นอีกหลายเท่า!

น้องสาวของผู้มีอำนาจคนหนึ่งยอมสละหัวใจของตัวเองเปลี่ยนให้พี่ชายฝาแฝด เพื่อให้เขาเป็นกำลังให้แก่แผ่นดินต่อไป หลังแข็งแรงดีแล้ว พี่ชายจึงขอให้นักบวช 8 คนใช้ตบะหลายร้อยปีสวดส่งวิญญาณของน้องสาวให้ไปสู่สุคติภพ โดยเอาหนังสือเล่มที่นางอ่านล่าสุดมาเป็นแนวทางให้กับพวกเขา โดยหารู้ไม่ว่าหนังสือเล่มนั้น แม่นมของน้องสาวแค่ซื้อมาให้อ่านเล่นและตัวเอกมีชะตาน่าอนาถมาก เพราะนางเป็นบุตรสาวพ่อค้าที่ถูกสลับตัวเข้าไปในจวนท่านโหวที่ถูกโจรฆ่าตาย ทำให้ถูกกล่าวหาว่าเป็นบุตรสาวที่มีดวงสังหารครอบครัว ยิ่งภายหลัง เมื่อครอบครัวท่านโหวรู้ว่าอุ้มเด็กมาเลี้ยงผิดคน นางก็ถูกกดฐานะให้ต่ำลง และสูญเสียขาทั้งสองข้าง... นั้นคือจุดเริ่มต้นของความบังเอิญบังเอิญว่า หนังสือเล่มนี้เป็นนิยายรักน้ำเน่าบังเอิญว่า นางร้ายของเรื่องมีชื่อแซ่เดียวกันกับ #อวี๋เซียงบังเอิญยิ่งกว่านั้น ยังขาพิการตั้งแต่ยังเด็กเหมือนอวี๋เซียงไม่ผิดเพี้ยน ไม่ต้องเสียเวลาคิดก็รู้ ไม่ว่าจะเป็นด้านจิตวิญญาณหรือสุขภาพร่างกายคนทั้งคู่มีโอกาสหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว!“นี่มันวันซวยของเธออวี๋เซียงหรืออย่างไร!ภพก่อนประสบเคราะห์กรรมตั้งมากมายไม่ง่ายเลยกว่าจะได้เกิดชาติใหม่ภพใหม่ สุดท้ายกลับต้องเกิดใหม่ในร่างที่ไม่สมบูรณ์ นั่นยังพอทำใจได้ แต่ที่ทำให้เธอโมโหที่สุดก็คือ...เธอหลงเข้ามาอยู่ในนิยาย ทั้งยังได้รับบทเป็นตัวละครสมทบหญิงที่ซวยที่สุดในโลก!”น้องอินทร์ขอรีวิวว่าเป็นนิยายรักที่พล็อตเรื่อง เข้มข้น เฉือดเชือน ตื่นเต้น ชวนลุ้น เหนือการคาดเดา นางเอก ฉลาด เก่ง ทันคน ไม่น่ารำคาญ และมียอดคะแนน 1,638 ล้านคะแนน ในเว็บไซต์จิ้นเจียง  ที่สำคัญมีการซื้อลิขสิทธิ์ไปทำซีรี่ส์แล้วน่ะ...บอกได้ว่าเล่มนี้ต้องห้ามพลาด  

OKR คืออะไร? OKR ย่อมาจาก Objective and Key Results    เป็นหนึ่งในวิธีการตั้งเป้าหมายเพื่อวัดผลความสำเร็จ…แล้วมันต่างจาก KPI อย่างไร? (ถามแทนใจผู้อ่าน)    - KPI จะถูกตั้งโดยผู้บริหารระดับสูงขององค์กรเป็นหลัก แนวคิดเป็นแบบ Top-Down       แต่ OKRs จะให้พนักงานมีส่วนร่วมในการตั้งเป้าหมายได้เอง       ผสมผสานกันระหว่างความคิดเห็นของพนักงานที่ปฎิบัติงานเป็นส่วนใหญ่  -  KPI จะคงรูปแบบตัวเลขเดิมไว้ตามที่ตกลง ควบคุมผลลัพธ์เบ็ดเสร็จ     เน้นการตั้งเป้าแบบ 100%  ส่วน OKRs สามารถเปลี่ยนแปลงยืดหยุ่นได้      และจะตั้งเป้าไว้ที่ 60-70% เพื่อให้พนักงานมีแรงขับเคลื่อน   - KPI มีผลโดยตรงต่อผลตอบแทนที่พนักงานได้รับ และมักใช้ในการทำงาน     ส่วน OKRs ไม่เกี่ยวกับการได้ หรือไม่ได้รับรางวัล แต่เป็นการทำเพื่อเรียนรู้     และพัฒนาสามารถใช้ในชีวิตประจำวันได้ เช่น      การตั้งเป้าเรื่อง สุขภาพ และการออกกำลังกายทำไมต้องใช้ OKRs?เพราะว่าที่ผ่านมา พวกเราอาจจะมีการตั้งเป้าหมายในชีวิตที่ไม่ตอบโจทย์ เช่นตั้งเป้ามากเกินไป ยากเกินไป, ไม่รู้ว่าตั้งเป้าไปทำไม, ไม่ติดตามความก้าวหน้า, ตั้งเป้าง่ายเกินไป...ซึ่งหนังสือเล่มนี้ ไม่เพียงแต่แนะนำเรื่อง OKRs ในองค์กรเท่านั้น แต่หลักการPersonal OKRs ของศาสตราจารย์ ดร. นภดล ร่มโพธิ์ ยังมุ่งเน้นไปที่การปรับใช้ ORKs กับชีวิตประจำวันของเรา เป็นการทำเพื่อพัฒนาตนเองแบบไม่ตึงเครียดจนเกินไป…..ส่วนวิธีการเขียน OKRs ใน ver. ตัวคุณ นั้น  ผู้เขียนได้มีการยกตัวอย่างในหนังสืออย่างละเอียด สามารถทำตามได้ทันที สำหรับผู้ที่ต้องการความท้าทายใหม่ๆ เพื่อบรรลุความสำเร็จในชีวิต ห้ามพลาด..!

ร้านขายสัตว์เลี้ยงแห่งหนึ่ง เปิดให้บริการเช่าแมวโดยมีแมวทั้งหมด 7 ตัว ทุกตัวเป็นแมวฉลาดที่ถูกฝึกให้อยู่กับผ้าห่มที่ติดตัวมันมาตั้งแต่เกิด ถ้ามีผ้าห่มนี้ ไม่ว่าจะเดินทางไปที่ไหน มันจะนอนหลับได้อย่างสบายใจ โดยสามารถเช่าแมวเหล่านี้ได้ 3 วัน 2 คืน เท่านั้น หากเกิน 3 วัน ผู้เช่าจะรู้สึกผูกพัน และ ไม่อนุญาติให้ซื้อแมว หรือ ถ้าต้องการเช่าแมวตัวเดิม ตามกฏแล้วต้องเว้นไปอย่างน้อย 1 เดือน “จะอย่างไรก็เป็นแค่การเช่าน่ะครับ” น้ำเสียงสงบของผู้จัดการจะแฝงความเฉียบขาดไว้แม้ราคาค่าเช่าค่อนข้างสูง บวกกับค่ามัดจำ สามารถซื้อลูกแมวพันธุ์แท้ ในร้านได้เลย ถึงอย่างไรนั้นทางร้านก็ไม่เคยขาดคนเช่าหนังสือเรื่อง ขอให้แมวโอบกอดคุณ เป็นร้านบริการเช่าแมว เรื่องราวของแมว ทั้ง 7 ตัว ที่มีหลากหลายสายพันธุ์ และ นิสัยของแมวแต่ละตัวก็แตกต่างกัน และยังมีกฏ 4 ข้อ ที่คนรักแมวต้องยอมทำตามซึ่งแมวที่ได้รับการคัดเลือกให้ไปอยู่กับผู้เช่านั้น เจ้าของร้านจะเรียกพวกมันว่า “แบล็งเก็ตแคตส์ (Blanket Cats)”เนื่อเรื่องสนุกขนาดนี้ ทาสแมวพลาดเล่มนี้ไม่ได้จริง ๆ

นิยายวายจีนแปลจากอึนลู่ซิง ที่ใครได้อ่านก็ต้องพูดตรงกันว่าน่ารักสุดๆฟีโรโมนของนายกับฉันเข้ากันได้ 99% เป็นนิยายวายแนว Omegaverse ฟีลกู้ดใสๆ วัยมัธยมเมื่อ ต้วนเจียเหยี่ยน เบต้าบิ๊กบอสห้าวด่องๆ หัวโจกประจำโรงเรียนพบว่าอยู่ดีๆ ร่างกายก็แปลกๆ อ่อนแอขึ้นมากะทันหัน จนไปตรวจแล้วพบว่าที่จริงแล้วตนเองเป็นโอเมก้า แถมยังแพ้ฮอร์โมนอัลฟ่าอีกโชคดีที่มี ลู่ซิงฉือ หัวหน้าห้องคนเก่งแถมยังนิสัยดีเยี่ยม และแจ็กพ็อตเป็นอัลฟ่าที่มีฮอร์โมนเข้ากับต้วนเจี่ยเหยี่ยนได้ ทำให้ทั้งคู่ต้องมาใกล้ชิดดูแลกัน และความหวั่นไหวก็เริ่มเกิดขึ้น!บอกเลยว่าเรื่องนี้บรรยากาศสดใส ให้พลังบวกม้ากกก ไม่ได้มีเฉพาะเรื่องความรักกุ๊กกิ๊ก แต่ยังมีเรื่องเพื่อน และเรื่องการสอบเข้ามหาวิทยาลัยด้วย ใครชอบสายนายเอกห้าวๆ พระเอกคลั่งรัก พลาดไม่ได้เด็ดขาด

พบกับชุดหนังสือ Boxed Set : The Hunger Games ที่มียอดขายรวมกันกว่า 70 ล้านเล่มทั่วโลก กับหนังสือไตรภาคที่ขายดีที่สุดในอเมริกาที่ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนต์เเฟนตาซีฟอร์มยักษ์ ทุนสร้างกว่า 2,000 ล้านบาท  ที่มาพร้อมนิยายปฐมบทลำนำแห่งนกร้องเพลงและอสรพิษ นิยายที่เล่าถึงเหตุการณ์ก่อนมหากาพย์นิยายแฟนตาซีชุด เกมล่าชีวิต หรือ The Hunger Games เล่มแรกถึง 64 ปี และเป็นนิยายเล่มล่าสุดของซูซานน์ คอลลินส์ นักเขียนนิยายชื่อดังเรื่องราวเกี่ยวกับคอริโอเลนัส สโนว์ ที่หลายคนคงจำได้ดีในมาดของประธานาธิบดีแห่งพาเน็มผู้ทรงอำนาจ ซึ่งในครั้งนี้คอริโอเลนัสที่อายุเพียง 18 ปี ต้องเข้าร่วมเกมล่าชีวิตครั้งที่ 10 ในฐานะที่ปรึกษาและต้องจับคู่กับบรรณาการจากเขตปกครองสุดล้าหลังอย่างเขต 12

แคตนิส เอฟเวอร์ดีน รอดตายจากเกมล่าชีวิต แต่ตอนนี้แคปิตอลต้องการแก้แค้นเธอ แม้ต้องผ่านอุปสรรคมามากมาย แคตนิส เอฟเวอร์ดีน และพีต้า เมลลาร์ก ก็รอดชีวิตมาได้ แคตนิสควรจะโล่งใจ แต่กลับมีเสียงกระซิบของการก่อกบฏที่มีต่อแคปิตอล กบฏที่แคตนิสและพีต้าอาจช่วยกันสร้างขึ้นมา ในขระที่ทั้งประเทศกำลังเฝ้าดูแคตนิสและพีต้า เงินเดิมพันก็พุ่งทะยานสูงขึ้นกว่าเดิม การกระทำที่ผิดพลาดเพียงครั้งเดียวส่งผลให้สิ่งที่ตามมาเกินจะจินตนาการได้

คู่มือทำธุรกิจร้านอาหารสำหรับผู้สนใจทั้งมือเก่า มือใหม่โดยผู้มีประสบการณ์กว่า 20 ปี ในวงการอุตสาหกรรมอาหาร.ก่อนอื่นไปพบกับตัวช่วยชี้วัดว่าพร้อมจริงไหม? ที่จะเปิดร้านฯ …ในการทำร้านอาหารมีองค์ประกอบอยู่หลายอย่างด้วยกัน ตั้งแต่เริ่มต้นทำร้านอาหารต้องมองตลาดว่า คนที่จะมาเป็นลูกค้าเราเป็นใคร มีลักษณะอย่างไร ต่อมาก็หาทำเลที่ตั้งที่คิดว่าเหมาะสมจะเปิดร้าน คิดเอกลักษณ์ สร้างจุดเด่นร้านเพื่อดึงดูดลูกค้า พร้อมกับวางแผนการตลาดให้สอดคล้องกัน .จะเห็นได้ว่าองค์ประกอบของธุรกิจร้านอาหาร มีรายละเอียดเยอะมาก และมีเรื่องพื้นฐานที่มีความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ ซึ่งอาจเป็นตัวกำหนดว่าร้านของคุณจะ “ไม่รอด” หรือ “ไปต่อ” ได้เลย.“Restaurant Management สูตรสำเร็จเปิดร้านอาหารอย่างเป็นระบบ”เล่มนี้ เต็มไปด้วยเทคนิคในการทำร้านอาหาร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ-ต้นทุนของร้าน เช่น Food Cost ควรอยู่ที่ 30% Labor Cost 20%-การทำคู่มือการทำงาน SOP เช่น วิธีการเสิร์ฟ วิธีการบริการ -โครงสร้างภายในร้าน เช่น ฝ่ายบริหารและฝ่ายลงมือทำ-เรื่องงานในครัว เช่น ครัวควรมีเนื้อที่ประมาณ 25-30% ของพื้นที่ร้าน-QSC การควบคุมและการประเมินผลการทำงานของร้าน.อีกทั้งยังมีเรื่องของการขายอาหาร Street Food ให้ประสบความสำเร็จ รวมถึงการรับมือในยามวิกฤตของธุรกิจร้านอาหาร หนังสือเล่มนี้จึงเหมาะสำหรับทุกคนที่สนใจทำร้านอาหารให้เป็นระบบ >>> มีจำหน่ายแล้วที่ Naiin.com และ Naiin App ..

ดุจดวงดาวเกียรติยศ นิยาย วัยใสเล่มนี้ เป็นผลงานของกู้ม่าน ที่หลายเรื่องของนามปากกานี้ถูกนำมาทำเป็นซีรี่ส์เยอะมาก ซึ่ง You’re My Glory ก็เหมือนกัน แว่วมาว่าซีรี่ส์ก็กำลังจะออนแอร์น้า แต่ก็แอบกระซิบว่าใกล้จะจบแล้วด้วยน้าทุกคน ต้องรีบตามอ่านให้ทันแล้วน้าYou Are My Glory นิยาย ...เรื่องราวความรักของวิศวกรการบินและอวกาศและดาราสาวชื่อดัง เฉียวจิงจิง (ตี๋ลี่เร่อปา) เป็นนักแสดงสาวสวยและมากความสามารถ แต่ใครจะไปรู้ว่าคนสวยๆ อย่างเธอในสมัยมัธยมเคยโดยผู้ชายที่แอบชอบปฏิเสธการสารภาพรักมาแล้ว ซึ่งทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เริ่มจากการเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนที่ไม่เคยคุยกัน มาเป็นเพื่อนเล่นเกมในโลกออนไลน์ และมาเป็นคนสอนเกมในชีวิตจริง ผ่านเรื่องราว ผ่านความสัมพันธ์ทั้งดีและไม่ดีร่วมกันมาระยะหนึ่ง จนพระเอกเริ่มรู้ตัวว่าความรู้สึกของเขาไม่เหมือนเดิม และไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต แต่ด้วยความเป็นเด็กเนิร์ด ใช้สมองมากกว่าหัวใจ แล้วก็ไม่ปรึกษาใคร แต่ยังดีที่ในหัวของพระเอกไม่บื้อจนเกินไป ส่วนนางเอกก็เป็นคนน่ารักเข้าใจพระเอกตลอดเวลา เลยทำให้เรื่องราวจบลงด้วยความน่ารักและความอบอุ่นในใจ ตามไปจิ้นและฟินต่อได้เลยจ้า ห้ามพลาดน้าทุกคน ^^

ก่อนจะอ่านเล่มนี้ ขอเตือนว่าเตรียมปอดไว้ให้ดี เพราะมีขำจนปอดโยกแน่!Cutie Pie นิ่งเฮียก็หาว่าซื่อ ว่าด้วยเรื่องของ "หนูเกื้อ" และ "เฮียกิเลน" ที่ถูกจับดอง จับหมั้นหมายกันไว้ตั้งแต่เด็ก กระทั่งโตขึ้นมา น้องเกื้อก็เป็นหนุ่มน้อยน่ารัก เรียบร้อย มองจากปากซอยยังรู้ว่าเป็นผู้ดี ส่วนเฮียเกื้อนั้นก็กลายเป็นหนุ่มหล่อเนี้ยบ นักธุรกิจตัวท็อป ดูเผินๆ แล้วเอ้า! นี่มันกิ่งทองใบหยก!แต่ๆๆๆ ถ้าแค่นี้แล้วจบก็ไม่สนุกสิคะ! เพราะแท้จริงแล้ว "หนูเกื้อ" ลับหลังสายตาผู้ใหญ่นั้นมีความหักมุม ชนิดพลิกจากหน้ามือเป็นหลังเท้า เพราะร่างที่แท้จริงของหนูเกื้อนั้นห่ามแบบขั้นสุด ชอบตีกลอง ซิ่งมอไซค์ แถมคบหาเพื่อนแต่ละคนนี้ โอ๊ยยยยย เหมือนไปเมคเฟรนด์กันในขุมนรกความ contrast ของตัวเองทำให้หนูเกื้อเริ่มหวั่นใจ จะแอ๊บบ่อยๆ มันก็เหนื่อย เลยตัดสินใจบอกเลิกเฮียกิเลนซะ! หารู้ไม่ว่าจริงๆ เฮียรู้ธาตุแท้ของหนูเกื้ออยู่แล้ว แถมยังชอบซะด้วย เอาสิ!!!!เรื่องราวของเด็กแสบและเฮียของเขาจะเป็นยังไงต่อคงเล่ามากกว่านี้ไม่ได้แล้วเพราะอยากให้ติดตาม แต่รับประกันความฮาจนกรามค้าง โดยเฉพาะเวลาแก๊งเพื่อนหนูเกื้อโผล่มา กินน้ำรอไว้เลยจ้า 3 ลิตร เพราะได้มีหัวเราะจนคอแห้งแน่ๆที่สำคัญ! เรื่องนี้กำลังจะได้ทำเป็นซีรีส์แล้วนะ อ่านก่อนฟินก่อนได้เลยที่ Naiin.com และ Naiin App มีทั้งรูปแบบหนังสือและ E-Book ถนัดแบบไหนเลือกแบบนั้นได้เลย Cutie Pie นิ่งเฮียก็หาว่าซื่อ อ่านแล้วอย่าลืมเข้าไปกดดาวและรีวิวให้หนูเกื้อและเฮียกิเลนบ้างนะ

 “คิดต่างสร้างการเปลี่ยนแปลง” หนังสือที่จะชวนเพื่อน ๆ นักอ่านให้ครุ่นคิดเรื่องราวหลากหลายประเด็น ไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่ปัญหาคลาสสิคอย่าง ฝนตก รถติด น้ำท่วม จนกระทั่งเรื่อง สถานการณ์โลกหลังโควิด-19 การแพทย์ การศึกษาไทย ที่จะชี้ให้เห็นถึงปัญหา เสนอแนวทางแก้อย่างยั่งยืนน้องอินทร์ขอชวนเพื่อน ๆ นักอ่าน หยิบหนังสือ  “คิดต่างสร้างการเปลี่ยนแปลง” ร่วมกันอ่าน ร่วมคิดต่างเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงกันนะครับ

>>“อยากเจอเพื่อนแท้สักคนในที่ทำงานจัง” <<สมัยก่อนอาจจะมีคนเคยบ่นแบบนี้ แต่ในปัจจุบันคงไม่มีแล้วเพราะคนส่วนใหญ่ตระหนักกันดีว่า…ในที่ทำงานนั้น อย่าว่าแต่จะหาเพื่อนแท้เลย หาคนที่สามารถเรียกได้ว่า “เพื่อน” ให้ได้ก่อน.หนึ่งในเรื่องที่ทำให้คนเราเหนื่อยล้ากันจากที่ทำงานมากๆ ก็คือ>>ความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน<< สาเหตุอาจจะมาจาก บางคนที่มีความอ่อนไหวกับกิริยาท่าทาง และสายตาของคนอื่นมากๆ คนเหล่านี้มักจะพยายามอ่านและวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้อื่นอยู่เสมอ ทำให้คิดมาก เก็บไปกังวล เกี่ยวกับการกระทำของเพื่อนร่วมงาน ส่งผลให้เกิดความกดดัน บ้างก็เกิดอารมณ์ไม่อยากทำงานอีกด้วย.หนังสือ “คนเก่งเขาก็ทำงานให้ง่ายแบบนี้แหละ” กำลังจะบอกว่า..คนที่มี Performance การทำงานระดับ Top นั้น มักจะรักษาระยะห่างกับเพื่อนร่วมงานพอสมควร และไม่หวั่นไหวไปกับคำพูด หรือการกระทำของใครทั้งสิ้น อีกทั้งพวกเขาจะไม่พยายาม เป็นคนดีในสายตาทุกคน เพราะมันไม่มีทางที่จะเป็นไปได้อยู่แล้ว ไม่ต้องไปคิดตีความให้ซับซ้อน.ผู้เขียน ปาร์คโซยอน ได้คลุกคลีกับคนที่ทำงานเก่งๆ มามากมาย จนสรุปได้ว่า พวกเขาเหล่านั้นสามารถจัดการงานทุกอย่างที่ยาก ได้อย่างง่ายดาย ไม่ประสาทเสีย แถมยังมีเวลาและพลังงานเหลือเฟือไปทำสิ่งที่ชอบอีกด้วย …หากให้ยกตัวอย่าง ข้อคิดหรือวิธีการ เช่น.-สื่อสารอธิบายคำสั่งงานให้ชัดเจน อย่าอ้อมค้อม ว่าต้องการจะทำอะไร และทำไปทำไม หากสงสัยให้ถามการถามตรงๆ ดีกว่าการที่มานั่งเกรงใจกัน-เวลาทำงานให้นึกถึงและหาผู้มีอำนาจตัดสินใจให้เจอ-กล้าปฏิเสธคำขอที่น่าหนักใจบ้าง หรือกล้าบอกเพื่อนร่วมงาน ให้เข้าใจถึงเส้นที่ห้ามล้ำเข้ามา-แบ่งเวลาชีวิตส่วนตัว กับการทำงานให้ชัด.สำหรับใครที่รู้สึกว่า การทำงานไม่ค่อยราบรื่น …ได้ผลลัพธ์ของงานที่ไม่น่าพึงพอใจนัก แถมยังต้องใช้เวลาและพลังงานชีวิตเป็นอย่างมาก..จะต้องถูกใจหนังสือเล่มนี้อย่างแน่นอน เพราะได้เผยความลับของคนที่ทำงานเก่ง ..ที่พวกเขาเลือกให้ความสำคัญกับสิ่งที่จำเป็น เพื่อประหยัดเวลาในการทำงานให้มากที่สุด ซึ่งพอคุณมีเวลาว่างเหลือคุณก็สามาถไปทำสิ่งอื่นๆ ได้ โดยที่ไม่ทำให้ประสิทธิภาพของงานน้อยลง

“ทำอย่างไรถึงจะมีความสุข?“หนังสือเล่มนี้พูดในหลายแง่มุม สำหรับการหาคำตอบดังกล่าวปัจจัยหนึ่งที่ผู้เขียนเน้นมาโดยตลอดเลยก็ คือ ...ความสุขนั้นสร้างได้ด้วยตัวเอง...ทุกๆอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิต ไม่ว่าจะดีหรือร้ายนั้นได้ หล่อหลอม รวมเป็นตัวของเราเองในปัจจุบันและสิ่งที่กำลังจะเข้ามาในอนาคต ก็จะทำให้เราได้เรียนรู้ชีวิตอยู่ตลอดเวลา กลายเป็นเราในเวอร์ชั่นที่ดียิ่งๆขึ้นไป..“โตขึ้นมาเป็นความสุข" เล่มนี้ทำให้เราได้สำรวจเส้นทางชีวิตของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น ด้านสุขภาพ ทั้งกายและใจ ด้านชีวิตส่วนตัว ครอบครัว การทำงาน รวมไปถึงความสัมพันธ์กับคนรอบข้างตัวเรา..ตัวอย่างที่หยิบยกมาได้ง่ายที่สุดคือ ประโยคที่เรามักถูกถามกันตอนเป็นเด็ก...“โตขึ้นมาอยากเป็นอะไร?”..ซึ่งคำตอบของหลายคนในตอนนั้นก็คงตอบตามแต่จะคิดขึ้นมาได้บางคนอยากเป็นครู บางคนอยากเป็นดาราบางคนอยากเป็นตำรวจ บางคนอยากเป็นหมอแต่พอโตขึ้นมาจริงๆ เส้นทางชีวิตอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงแตกต่างกันไปพอได้เรียนรู้ชีวิต ว่ามีอาชีพต่างๆ อีกมากมายทั้งคนที่มีโอกาสได้ลองทำแล้วชื่นชอบและคนที่ไม่ได้ชอบ แต่จำเป็นต้องทำงานเหล่านั้น…อาชีพที่เรียนมา อาชีพที่ครอบครัวอยากให้ทำสุดท้ายเราก็พบว่า พอโตขึ้นมาแล้วไม่มีความสุข..พึงระลึกไว้เสมอว่า ชีวิตนี้ยังเป็นของเรา ไม่ใช่ของใคร และไม่มีอะไรที่เราทำไปแล้ว นับเป็นความล้มเหลวในภายหลัง.และถ้าย้อนเวลากลับไปได้ หลายคนก็คงจะตอบว่า “โตขึ้น อยากเป็นคนที่มีความสุข..” ไม่ว่าจะทำอาชีพอะไรก็ตาม.ทางรีวิวบุ๊คเมทหวังว่า ทุกคนจะเป็นคนที่มีความสุขหากได้อ่านหนังสือเล่มนี้นะครับ..

วรรณกรรมแปลสำหรับเยาวชน ที่มีชื่อเสียงจนได้รับการสร้างเป็นภาพยนตร์กล่าวถึงเรื่องราวของเด็กสามคน ที่ได้มารวมตัวกัน ณ สวนลับแห่งหนึ่งโดยมีภารกิจที่อยากจะฟื้นคืนสภาพ สวนลับแห่งนั้น ให้กลับมาสดใส มีชีวิตชีวาอีกครั้งแต่สิ่งที่เกิดขึ้นควบคู่กันไปด้วยนั่นคือ มิตรภาพ การเติบโต(ทางด้านจิตใจ)และการเปลี่ยนแปลงตัวเองของพวกเด็กๆ ในแบบที่ดียิ่งขึ้น...กลับกลายเป็นว่า การฟื้นฟูสวนลับนั้น ก็เป็นการฟื้นฟูสภาวะทางอารมณ์และรักษาจิตใจของพวกเด็กๆ ทั้งสามไปด้วยเช่นกันตัวละครหลักทั้งสามคน ได้แก่มารี...เด็กสาวชาวอินเดีย สุดร้ายกาจ หยาบคาย เจ้าอารมณ์ เอาแต่ใจโตมาโดยที่พ่อแม่ไม่สนใจ แต่มีพี่เลี้ยงที่คอยตามใจทุกอย่าง จนกระทั่งเกิดโรคระบาด กำพร้าพ่อและแม่ จึงต้องย้ายมาอยู่อังกฤษและบังเอิญได้ค้นพบสวนลับแห่งหนึ่ง ในคฤหาสถ์ของลุงที่เธออยู่ด้วยคอร์ลิน...ญาติ(ลูกพี่ลูกน้อง)ของมารี ลูกชายของลุงเจ้าของคฤหาสถ์มีคนรับใช้คอยดูแลเยี่ยงราชา แต่ก็เป็นเหมือนเจ้าชายน้อยในปราสาทมืดเนื่องจากถูกกักตัวไว้แบบผู้ป่วยติดเตียง เพราะอาการป่วยประหลาดแถมคนรอบข้างของเขา ก็ชอบพูดถึงอาการป่วยในแง่ลบบ่อยๆบอกว่าเขาจะอยู่ได้อีกไม่นาน ทำให้คอร์ลินจิตตก หดหู่ และก็อารมณ์ร้าย เอาแต่ใจไม่แพ้มารีดิกค่อน... เป็นน้องของสาวใช้ในคฤหาสน์ เด็กชายชาวทุ่ง ผู้อ่อนโยน มีจิตใจดีเข้าใจธรรมชาติอย่างลึกซึ้ง เป็นที่รักของสรรพสัตว์ต่างๆ--------------------------------------------------------ในสวนลับ The Secret Garden มีการดำเนินเรื่องที่ราบเรียบและตรงไปตรงมา เป็นนิยายที่เยาวชนอ่านแล้ว ได้ข้อคิด เข้าใจง่ายสวนลับที่พวกเด็กๆ ค้นพบ เปรียบเสมือนศูนย์กลาง หรือฐานทัพของเด็กๆ ทั้งสาม และการพยายามฟื้นฟู ใช้เวลาร่วมกันในสวนนี้ กลับกลายเป็นสถานที่ ที่ทำให้ตัวละครมีพัฒนาการ...มารีและคอร์ลิน เป็นกระจกที่สะท้อนกันและกันเพราะนิสัยเอาแต่ใจทั้งคู่ กับการเรียนรู้ว่า "โลกไม่ได้หมุนรอบตัวเรา"ทั้งสองได้เห็นตัวเองในอีกคน และเริ่มคิดในมุมผู้อื่นว่า "ตัวเองก็ไม่ได้เป็นที่ชื่นชอบของคนอื่นเช่นกัน เพราะมีนิสัยแบบนี้"เรียนรู้ว่า ความสุขที่อยู่รอบตัวเรา มันไม่ได้หายากเลยขึ้นอยู่กับความคิด การเชื่อตามที่คนอื่นพูดมากเกินไปการเจ็บป่วยจริง หรืออาการไหนป่วยปลอม ก็จะแยกกันไม่ออกเพราะสภาพจิตดึงพลังแง่ลบเข้ามาอยู่เรื่อยๆทั้งๆ ที่จริงๆ แล้ว ในปัจจุบัน สามารถวิ่งเล่นกับเพื่อน ได้ปลูกต้นไม้ ทำให้มันมีชีวิต ออกดอกออกผลสวยงามจิตใจก็เบิกบานได้ เราต้องปล่อยวางและมีความคิดบวกจึงจะมองเห็นความสุขตรงหน้า...ว่าแล้ว ก็อย่ายอมแพ้ พวกเด็กๆ พวกเขามีอดีตอันมืดมนจากการละเลยของพ่อแม่แต่เลือกที่จะเผชิญหน้าและปรับตัว...รักษาฮีลใจตัวเองรับรองว่า ถ้าได้หยิบเล่มนี้ ไปอ่านเมื่อไหร่ หัวใจทุกคน ก็คงจะนุ่มฟู สนุกสนานและมีความสุขไปกับเด็กทั้งสามคนได้จริงๆ

โลกเป็นอย่างไร อยู่ที่ว่าเราจะมองอย่างไร…สิ่งนี้คือ “กรอบความคิด” เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดมุมมองของเรา ที่เกี่ยวข้องกับทุกๆอย่าง ตั้งแต่การใช้ชีวิต …การทำงาน ไปจนถึงด้านเศรษฐศาสตร์และการตลาด.แก่นของหนังสือ “THE FRAME ชนะตั้งแต่ความคิด” ที่เขียนโดย Choi Incheol (ชเวอินช็อล) อาจารย์สาขาจิตวิทยา และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยความสุข มหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล.. มาจากการที่เขาพยายามอธิบายเนื้อหา ผ่านการทดลองต่างๆ การบอกเล่าด้วยงานวิจัยและพฤติกรรมที่น่าสนใจ ซึ่งเขาได้รวบรวมผลลัพธ์เหล่านั้น มาเล่าสู่กันฟัง.อาจกล่าวสรุปได้ว่า “กรอบความคิด”  คือ หน้าต่างของหัวใจ ที่ทำให้เรามองทุกอย่างในชีวิตด้วยปัญญา…โดยนั่น เป็นใจความที่สำคัญที่สุด.หากจะให้ยกตัวอย่าง “กรอบความคิด” ที่หนังสือได้เล่ามานั้น มีอยู่มากมายหลากหลายแบบ โดยจะมีตั้งแต่...-กรอบความคิด แบบยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง เช่น เราก็มักคิดไปเองว่า.. ทุกคนต้องเห็นสิ่งแย่ๆ ที่เราทำพลาดทั้งที่จริงๆแล้ว อาจจะไม่มีใครสนใจเลยก็ได้ เพราะทุกคนก็มักสนใจแต่เรื่องของตัวเอง เหมือนที่เราเองก็กำลังคิดแบบนี้อยู่นั่นแหละ.-กรอบความคิดแบบคน หรือ แบบสถานการณ์ เช่นเมื่ออยู่ในสถานการณ์แบบคนหมู่มาก คนเรามักจะไม่อยากทำอะไรที่แตกต่างอยู่คนเดียว แต่ถ้ารู้ว่ามีคนคิดเหมือนกันเพิ่มขึ้นมา เขาก็จะยึดมั่นและกล้าแสดงออก ในสิ่งที่เขาเชื่อถือได้มากขึ้น เช่นกัน.-กรอบความคิดอิงปัจจุบัน เช่น คนเรามักคิดไปว่า ตัวตนในอดีตนั้นต้องแย่กว่าตัวตนในปัจจุบัน (ปลอบใจตัวเอง) หรือแม้ตัวตนในอนาคต เราก็มักจะคิดว่าต้องสมบูรณ์แบบมากกว่า ตัวตนในปัจจุบันแน่นอน ซึ่งนั่นอาจจะเป็นการบิดเบือนข้อมูล และจะทำให้ตัดสินใจในเรื่องต่างๆ คลาดเคลื่อนได้.และยังมีเนื้อหาของ “กรอบความคิด” อีกมากมายที่เป็นประโยชน์และจะช่วยให้เรานำไปปรับใช้กับชีวิตเราได้แนะนำเลยว่า..คุ้มค่ากับการใช้เวลาอ่านอย่างแน่นอน!!

ในยุคที่ใครๆ ก็พูดถึงดาต้า แต่จะมีสักกี่คนที่จะเข้าใจแนวคิดการตลาดแบบใช้งานดาต้าจริงๆ ว่ามันเป็นยังไงมาวันนี้ ในรีวิวบุ๊คเมท จะยกตัวอย่างเนื้อหาบางส่วนของData-Driven Marketing การตลาดแบบฉลาดใช้ดาต้าที่น่าจะมีประโยชน์ต่อนักอ่านทุกท่าน!..พบกับ.. หลักการใช้คำค้นหา Insight แบบเจาะลึก! 4 เลเวล (4 Level of Data) โดยที่ไม่ต้องพึ่ง Instinct!Lv 1 : Direct Data แบรนด์ สินค้า หรือ กระแสนิยมที่เราต้องการเสิร์ชโดนตรงLv 2 : Category Data หมวดหมู่ของสินค้า หรือบริการ ที่เราสนใจLv 3 : Context Data คำอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับ keyword หลักของเราเช่น บริบท ช่วงเวลาต่างๆ  ที่เล็งเห็นโอกาส เข้าไปแก้ไขปัญหาลูกค้าได้Lv 4 : Creativity Data เป็นเหมือนคำเสริมที่ต้องใช้ประสบการณ์ในธุรกิจนั้น และสร้างสรรค์คำขึ้นมา ซึ่งดาต้าจะเป็นตัวพิสูจน์ว่าเอาไปใช้ได้จริงหรือไม่ ถ้าได้ Keyword Level นี้จะมีประโยชน์มากที่สุดทั้ง 4 ระดับของคำค้นหา ถ้าเอาไปใช้ได้อย่างถูกต้อง ไม่ว่าจะกับ Google Trends หรือเอาไปประยุกต์กับ Social Listening Tool ผลลัพธ์นั้น ย่อมคุ้มค่าอย่างแน่นอนData-Driven Marketing การตลาดแบบฉลาดใช้ดาต้านับเป็นเนื้อหา แนวการตลาด ที่มีครบ ไม่ว่าจะเป็นหลักการต่างๆ จนไปถึง Case Study ของแบรนด์ที่รู้จักในวงกว้างแน่นอนว่า คนทั่วไปอ่านได้ สายการตลาดก็ยิ่งอ่านดีการันตีจากสำนักพิมพ์ Amarin How to โดย Influencer ชื่อดัง เจ้าของเพจการตลาดวันละตอนปัจจุบัน มีจำหน่ายทั้งรูปแบบหนังสือและ E-Bookทั้งในช่องทาง naiin.com และ Naiin App

เคยเป็นกันไหมเอ่ย? เวลารับประทานอาหารหรือออกกำลังกายด้วยวิธีที่เราคิดว่าดีต่อร่างกายแล้ว แต่กลับไม่ได้ผล!!  .หนังสือ “Anti-Aging Insights เด็กกว่าอายุจริงด้วย 51 วิธีกิน 26 วิธีออกกำลังกาย” เล่มนี้ จะบอกคุณ ในเรื่องของเคล็ดลับที่ถูกต้องเกี่ยวกับการรับประทานอาหารและออกกำลังกาย  เพื่อให้ดูเยาว์วัย งามขึ้นจากทั้งภายในและภายนอก.เขียนโดยแพทย์หญิงคุโระดะ ไอมิ ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ชะลอวัย เนื้อหาในเล่มนำเสนอด้วยการอธิบายแนวคิดต่างๆ เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพซึ่งผู้อ่านสามารถนำไปเป็นแนวทางเพื่อลงมือปฏิบัติและเห็นผลได้จริง.การกินและการออกกำลังกายเป็นเรื่องที่ต้องทำควบคู่กันอย่างเหมาะสมพอดี เมื่อร่างกายแข็งแรงย่อมช่วยเรื่องความงามและการชะลอวัยไปได้พร้อมกัน อย่างยั่งยืน พร้อมยกตัวอย่างส่วนหนึ่งของข้อสรุปที่ผู้เขียนแนะนำ เช่น - เลิกกินน้ำตาลก่อนจะคิดถึงการควบคุมแป้ง- ถึงแม้จะเป็นอาหารที่ให้ผลดีต่อการลดน้ำหนัก   ก็ไม่ควรกินทุกวัน ร่างกายอาจต้องการสารอาหารที่สมดุล- อ้วนลงพุงคือตัวการเร่งความเสื่อมชรา- แก่ยากเมื่อออกกำลังกายจนเป็นนิสัย- ควรรู้จักวิธีผ่อนคลายอาการเหน็ดเหนื่อย   ไม่งั้นอาจเจอภาวะต่อมหมวกไตล้า!.ข้อควรจำ คือ การละเลยเรื่องอาหารการกิน(ลดอาหารเกินไป) และการออกกำลังกายแบบหักโหมนั้น จะเป็นศัตรูตัวฉกาจของการชะลอวัย…ทุกๆ อย่างจึงต้องมีความสมดุลถึงจะเกิดผล หากเราทำตาม 51 วิธีกินและ 26 วิธีออกกำลังกายที่ผู้เขียนบอก มันก็จะเป็นทางลัดสู่ความอ่อนเยาว์ที่ใครๆก็ทำได้!

บรรทัดฐานทางตลาด…บรรทัดฐานทางสังคม…คือ สองขั้วตรงข้าม ที่แบ่งโลกใบนี้ไว้ในด้านของ “เศรษฐศาสตร์พฤติกรรม”หนึ่งในมิติ การตัดสินใจของมนุษย์ที่จะกระทำ หรือไม่กระทำสิ่งต่างๆ.บรรทัดฐานทางตลาด คือ การคิดอย่างละเอียด ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเม็ดเงิน มีการให้ค่า ตีราคากับทุกการกระทำ ว่าต้องยื่นหมู ยื่นแมว ไม่มีของฟรีในโลกส่วนบรรทัดฐานทางสังคมนั้น มีความลึกและซับซ้อนเพิ่มขึ้นว่าด้วยเรื่องของคุณค่าทางจิตใจ หรือการกลัวที่จะถูกมองไม่ดี การไม่อยากถูกด้อยค่าในการกระทำ ความเกรงใจทั้งหมดนั่นจะเป็นส่วนหนึ่งของสาเหตุ ที่คนเรายังทำดีต่อกันหรือทำอะไรให้กัน แม้จะไม่มีเงินรางวัลมาล่อก็ตาม พูดง่ายๆ คือ เป็น “มารยาททางสังคม” นั่นเอง.และชีวิตมันจะวุ่นวายมากๆ ถ้าเราดันเอาบรรทัดฐานทางการตลาดไปใช้กับเรื่องที่เป็นบรรทัดฐานทางสังคม.เช่น ไปกินข้าวบ้านพ่อแม่แฟน แล้วดันไปคิดเกรงใจตีค่าราคาอาหารมื้อนั้นออกมาเป็นเม็ดเงินแล้วจ่ายให้พวกเขา พวกเขาคงไม่ดีใจแน่ๆหรือกรณีที่สถานรับเลี้ยงเด็ก ไม่อยากให้ผู้ปกครองมารับลูกช้าเลยออกนโยบายคิดค่าปรับทุก 10 นาที ที่พ่อแม่มาเลท ผลลัพธ์ดันตรงกันข้าม เพราะคนที่มารับช้าอยู่แล้ว เค้าก็ยอมจ่ายเปรียบเทียบความคุ้มค่าว่านั่งทำงานต่ออีกนิดก็ได้ ยังไงก็โดนปรับ.หากใครที่ยังไม่เคยอ่าน “พฤติกรรมพยากรณ์” (Predictably Irrational) ของ Dan Ariely.. หนังสือ “Amazing Decisions เศรษฐศาสตร์พฤติกรรม ฉบับเข้าใจง่ายที่สุดในโลก!” เล่มนี้..ก็เป็นเหมือนการ์ตูนที่สรุปเนื้อหาของเล่มนั้นไว้แล้ว ..อ่าน 1 ได้ถึง 2! อ่านเข้าใจง่าย และยังได้ประเด็นสำคัญเกี่ยวกับด้าน “เศรษฐศาสตร์พฤติกรรม” ครบถ้วนอีกด้วย

เคยสงสัยกันไหม? ทำไมบางคนทำงานได้ดีเวลาดึก(ยังไม่ง่วง)แต่บางคนต้องนอนเร็วๆ เพราะสมองไม่คึกเท่าตอนเช้าตรู่แม้ว่าคนเราจะมี 24 ชั่วโมงเท่ากัน แต่ก็มี "นาฬิกาชีวภาพ"ที่แตกต่างกัน ทำให้มีการจัดตารางเวลาไม่เหมือนกัน นั่นเอง.>>>THE POWER OF WHEN พลังแห่ง "เมื่อไหร่"<<<เขียนโดย Michael Breus , Ph.D. เป็นผู้เชี่ยวชาญที่ศึกษาเรื่อง “นาฬิกาชีวภาพ” ของคนเรา อาทิเช่น ช่วงเวลาต่างๆ ของฮอร์โมน เอนไซม์ ที่ส่งผลต่อการทำกิจกรรมต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นหรือลดลง และทุกคนมีความต่างกัน .และแบ่งคนออก เป็นสัตว์ 4 ประเภท ตาม “นาฬิกาชีวภาพ” ได้แก่1. โลมา ..พวกนอนหลับครึ่งสมอง ตื่นง่าย หลับไม่ลึก มีแรงขับในการนอนต่ำที่สุด มักรู้สึกไม่สดชื่น จึงต้องกินกาแฟ2. สิงโต ..พวกตื่นแต่เช้า กระฉับกระเฉงตอนเช้า แต่ต้องนอนเร็ว3. หมี ..ทำตัวไหลตามกระแส มีแรงขับในการนอนสูงมากที่สุด4. หมาป่า ..สัตว์นักล่ายามราตรี ตาสว่างตอนกลางคืน ช่วงเช้าสมองตื้อ เครื่องติดตอนเย็น ยิ่งดึกยิ่งคึกคัก.โดยในหนังสือ มีแบบทดสอบ (Bio-Time Quiz) ให้เราวิเคราะห์ตัวเองว่าจัดอยู่ในประเภทไหนด้วย ซึ่งยังมีข้อมูลตารางที่เหมาะสมกับบุคลิกภาพตาม “นาฬิกาชีวภาพ” ทั้ง 4 ประเภทให้ผู้อ่านดูด้วย ไม่ว่าจะเป็น การรับประทานอาหารแต่ละมื้อ การนอน การออกกำลังกาย การสร้างความสัมพันธ์ การทำงานการใช้ความคิดสร้างสรรค์ รวมไปถึงเรื่องรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อย่างการตอบเมล์ การทะเลาะกัน แม้แต่การมี Sex ก็ด้วย เช่นกัน.อย่าลืม!!..ค้นหาตารางชีวิตคุณ ว่าเป็นแบบสัตว์ประเภทไหน? เพื่อที่จะได้วางแผน จัดการตารางเวลาของตัวเองให้ถูกด้วย>>>THE POWER OF WHEN พลังแห่ง "เมื่อไหร่"<<<

?ถ้าภาพอนาคตที่คุณมองเห็น คือ การได้นั่งทำงานในออฟฟิศ วันจันทร์-วันศุกร์ ตั้งแต่ 8 โมงเช้า จนถึง 5 โมงเย็น ไปเรื่อยๆจนอายุ 60 ปี...คุณคงไม่เหมาะกับ The 4-Hour Workweek เล่มนี้.“The 4-Hour Workweek ทำน้อยแต่รวยมาก (ฉบับปรับปรุง)” เป็นหนังสือที่เขียนเล่าเรื่องราวของชายที่ชื่อว่า ทิม เฟอริสส์ ชายหนุ่มผู้มีแนวคิดว่า เวลาเป็นสิ่งมีค่ามาก จนสามารถคิดค้น สูตรหรือ Model ธุรกิจ ในการรีดเร้น Productivity ต่อเวลาที่ใช้ให้ได้มากที่สุด …เขาใช้เวลาทำงานแค่สัปดาห์ละ 4 ชั่วโมง..คุณอ่านไม่ผิด.. ไม่ใช่ 4 ชั่วโมงต่อวัน แต่เป็น 4 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ซึ่งเขาก็ยังสามารถสร้างรายได้มหาศาล เหลือเวลาไปเที่ยวรอบโลก.ทิม ยังแนะนำ กฏของพาเรโต (Pareto’s Principle) ให้ปรับใช้ในการทำงาน ว่าด้วย..ผลลัพธ์ 80% ที่เกิดขึ้น สามารถมาจากการทำงานที่มีประสิทธิภาพเพียง 20% เท่านั้นก็เพียงพอ เช่น80% ของยอดขายทั้งหมด ก็เกิดจากการขายของเพียง 20% หรือ 80% ของกำไรในตลาดหุ้นมาจากหุ้นแค่ 20% เท่านั้น เป็นต้น .และยังให้คำนิยาม คนรุ่นใหม่ที่อยากเป็น New Rich คือ เหล่าคนที่รู้วิธีทำความฝันให้เป็นจริง ในปัจจุบันได้ทันที ไม่ต้องรอเกษียณ ไม่ต้องรอมีบ้านหลังใหญ่ มีที่ดิน หรือมีเครื่องเพชร ทองคำเยอะๆแต่เป็นคนที่มีเวลาว่างให้ตัวเอง มีอิสรภาพเทียบเท่าเศรษฐีพันล้านแต่ทรัพย์สินไม่จำเป็นต้องเท่าก็ได้..ขอเพียงสามารถออกแบบ “ระบบ”การบริหารเวลา ทางธุรกิจ เพื่อสร้าง Passive Income ให้ตัวเองได้ก็สามารถเป็น New Rich ได้แล้ว โดยใช้ Model ตัวย่อ “DEAL”ในหัวข้อตามที่โพสต์ไปแล้วข้างต้น ให้เอาข้อคิดเหล่านั้นไปปรับใช้.ภายในเล่ม ยังมีหัวข้ออื่นๆ อีกมากมาย รวมไปถึงวิธีการทำธุรกิจขายสินค้าออนไลน์อย่างละเอียด ..เหมาะมากๆกับคนที่อยากมีLifestyle แบบ Digital Nomad (คนที่เดินทางไปไหนก็ทำงานได้)หลังจากที่คุณอ่านหนังสือเล่มนี้ คุณอาจจะเปลี่ยนความคิดเรื่องธุรกิจ แล้วเกิดไอเดีย จนอยากสร้างชีวิตของคุณ ให้เป็น New Rich ก็เป็นได้

จาก "ทุ่งเสน่หา" สู่ "วาสนารัก" เรื่องราวความรักรุ่นลูกที่ยังคงความดราม่า ให้นักอ่านได้ร่วมลุ้นกันต่อ!!จากนิยายขายดี ของ "จุฬามณี สู่ละครช่อง 3 ที่น้องอินทร์อยากแนะนำเพื่อน ๆ มาอ่านกันจะได้ร่วมลุ้นความรักของตัวละครรุ่นลูก เรื่องราวในเล่มนี้ก็จะให้นักอ่าน ได้เห็นการเติบโตของตัวละคร ตั้งแต่วัยเด็ก วัยรุ่น จนถึงวัยทำงาน ความชุลมุนวุ่นวาย ความซับซ้อนของความสัมพันธ์ตัวละครรุ่นลูกจะมีความสมหวังมากน้อยเพียงใด พวกเขาจะมีวาสนาต่อกันหรือไม่ เชิญร่วมหาคำตอบกับ “วาสนารัก” กันเลยครับ

น้องอินทร์มีรีวิวนิยายจันทร์กระจ่างกลางเงาเมฆ จากเพจอ่านเสร็จเก็บมาเมาท์ by Mookie มาฝากเพื่อน ๆ นักอ่านคอนิยายทุกคน สำหรับนักอ่านคนไหนที่ซื้อมาอ่านแล้วก็สามารถมารีวิวเพิ่มเติมได้ แต่ใครที่ลังเลว่าจะเลือกซื้ออ่านดีไหมนะ ก็สามารถอ่านรีวิวประกอบการตัดสินใจได้เลย เริ่มต้นเพจ อ่านเสร็จเก็บมาเมาท์ by Mookie ก็นิยามนักเขียนติงโม่ไว้อย่างชัดเจน“ติงโม่ก็คือติงโม่ เปิดเรื่องดึงความสนใจให้เราอยากรู้ ติดตามต่อ ทิ้งปมปริศนาไว้ตลอดทาง มิติตัวละครชัดเจน มีความหลากหลาย ทุกตัวละครมีหน้าที่ของตัวเองชัดมาก”การพบกันบนเรือของพระนางแบบ A Little Bit ‘Love at First Sight’ พร้อมกับเส้น Timeline ของสองคนที่ทำไมถึงเหลื่อมล้ำกันเป็นปี ปริศนาแท้จริงเริ่มขึ้นตรงนี้… พระเอกที่ทิ้งทุกอย่างเพื่อติดตามคดีน้องสาวตัวเองที่เป็นเหยื่อรายที่ 5 ของฆาตกรต่อเนื่อง ในขณะที่นางเอกพอมาเจอว่าความทรงจำของตัวเองต่างหากที่หายไปปีนึงเต็มๆ ทำให้สองคนต้องกลับมาพัวพันกันอย่างเลี่ยงไม่ได้สาวไปสาวมา ต้นตอความประหลาดทั้งหมดและอีกหลายคดีที่ตามมา กลับมุ่งออกมาจากที่มาเดียวกัน คือ ช่วงเวลาบนเรือสำราญลำนั้น... ทีนี้เลยเกิดอาการ Back to the Past, Jump to the Future สลับไปมาเพื่อทั้งไขคดี ป้องกันไม่ให้เหยื่อถูกฆ่า ในการโดดข้ามเส้นเวลาที่ทับซ้อนกันไปมา มีปริศนาของผู้คนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มากมาย ค่อยๆ แสดงตัวออกมา คนที่ไม่ควรตายกลับตาย คนที่เคยตายกลับรอด ท้ายที่สุดแล้วเรื่องนี้จะมีจุดบรรจบเมื่อเส้นของกาลเวลาตัดผ่านจุดสุดท้ายจะนำคำตอบมาให้ว่าทำไมนางเอกจึงเป็นคนเดียวที่สูญเสียความทรงจำ และทำไมมีเพียงแค่ทั้งคู่โดดข้ามเวลาไปมา ส่วนครึ่งเล่ม 2 จนจบเนี่ยบอกเลยว่าวางไม่ลง ทั้งลุ้น ทั้งหวาน ใครอยากได้นิยายแนวตื่นเต้นไป ซดน้ำตาลไป เรื่องนี้ต้องจัดเลย ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง

หนังสือ มันก็ไม่ได้แย่ แค่ไม่เหมือนเดิม เป็นผลงานที่ทาง Springbooks ได้รวมนักเขียน บาร์จเฉยๆ, Morefin และอิสญะ ให้นักอ่านได้ฉุดคิด ถึงอดีตที่ผ่านพ้นไป ได้ตั้งรับกับสิ่งที่เกิดในอนาคตบทความที่น้องอินทร์ชื่นชอบมากที่สุดคือ “Safe Zone” หลายครั้งที่น้องอินทร์ได้ยินได้ฟังว่าให้ออกจาก Safe Zone จะทำให้โตขึ้น เก่งขึ้น พบเจอสิ่งใหม่ ๆ ในชีวิต แต่แน่นอนว่าการที่ไม่ได้ออกจาก Safe Zone ก็ไม่ได้เลือกผิดแต่อย่างไร เพราะนั้นคือพื้นที่เขารู้สึกอุ่นใจ มีความสุข แล้วคุณล่ะจะเลือกที่จะอยู่หรือออกจาก Safe Zone กันครับยังมีเรื่องราวอีกมากมายมาก ไม่ว่าจะเป็น เรื่องราวที่ให้แรงบันดาลใจของชีวิต ความรัก ความฝัน อ่านจบแล้วคุณจะกลับมารักและเข้าใจชีวิตตัวเองมากขึ้น :)

แค่ชื่อเรื่องก็ชวนให้หยิบขึ้นมาอ่าน ถ้าได้พลิกไปด้านหลังปก ก็จะเจอหัวข้อวิถีการทำงานที่สงบสุข ทำงานวันละ 8 ชั่วโมง ไม่มีงานวันเสาร์อาทิตย ประชุมน้อย เดดไลน์ที่ทำได้จริง! ชวนกระตุ้นให้อยากรู้ว่าวิธีการจะเป็นอย่างไรทำงานยังไงไม่ให้บ้าไปซะก่อน นำเสนอ วิธีการแบบ "the Calm Company"  เป็นหลักวัฒนธรรมองค์กรที่แปลกใหม่  สร้างแรงบันดาลใจ และปฏิบัติได้จริง (ก็นักเขียนเขาทำจริงเกิดผลจริง เลยเขียนมาเป็นเล่มนี้ไงล่ะ) ตอบโจทย์นักอ่านมากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับการไปประยุกต์ให้เข้ากับตัวเองและองค์กรสุดท้ายของให้นักอ่านของน้องอินทร์ทำงานกันอย่างสงบสุขนะครับ!

เรื่องราวความสัมพันธ์ของสองพี่น้อง ที่ไม่ใช่พี่น้องสายเลือดเดียวกัน!!พี่ชายที่แสนดี ฉลาดและมีเหตุผล ตอนเด็กก็เป็นนักเรียนผู้โดดเด่น พอโตมาก็เป็นประธานบริษัทอนาคตไกลสิ่งดี ๆ ที่มอบให้น้องชาย ทั้งการปกป้องและหวังดี ดียิ่งกว่าพี่น้องแท้ ๆส่วนน้องชาย ก็กระด้างกระเดื่องดื้อรั้นไม่เชื่อฟังคำสั่งสอนของพี่ชาย พอโตขึ้นยังไปเชื่อคำคนชั่วจนทรยศพี่ชายในที่สุดและเหตุการณ์ครั้งนี้ทำเขาเสียใจเป็นที่สุดสวรรค์เหมือนมีตา ลงโทษและให้อภัยในคราวเดียวกัน !?! ว่าแต่ชะตาชีวิตจะพลิกไปทิศทางใด น้องอินทร์ขอชวนนักอ่าน หยิบ น้องชายพี่รัก มาลองอ่านกันเลย

ถ้ามีผู้ชายที่ หล่อ ดูดี มีฐานะที่ดีมาก ๆ ยังจะออฟชั่นเสริม ด้วยการเทคแคร์แบบฟูลออฟชั่น  ทำอาหารแบบอร่อยตามต้นฉบับให้กิน การันตีตัวเองว่าสามารถทำงานบ้านได้ด้วย อยากไปไหนขอให้บอกพร้อมจะขับรถไปให้ โหยยยย ช่างเป็นผู้ชายที่หายากเสียจริงแต่นิยายสวัสดีครับ คุณภรรยา! จะมานำเสนอ ประธานเว่ย ผู้ชายฟูลออฟชั่น ที่มีดีตามที่กล่าว และถ้านักอ่านคิดว่าประธานเว่ย จะชนะใจนางเอกสาวที่แสนเด็ดเดี่ยวอย่าง ซูเล่อ ได้ง่ายๆ ล่ะก็ คิดผิดแล้วล่ะว่าแต่? ผู้ชายฟูลออฟชั่นแบบนี้ ทำไม ซูเล่อ ถึงใจแข็งไม่ตอบรับรักนะ อย่างนี้ต้องอ่าน! อ่านแล้วอย่าลืมมารีวิวกันนะครับ

"Money Maker" คือ คนหาเงินเก่ง ทำเงินจำนวนมากๆ ในเวลาน้อยๆเข้ากระเป๋าอย่างง่ายดายราวกับผลิตเงินได้ หรือมีแม่เหล็กดึงดูดเงินเข้ากระเป๋า ครั้งแล้วครั้งเล่า! อีกทั้งยังเป็นเพียงคน 1% บนโลกที่มีชีวิตการเงิน และทุกๆ ด้านดีกว่าคนอีก 99% ที่เหลือ..!!.จากหนังสือ How to become a successful MONEY MAKER หรือชื่อภาษาไทย 'วิธีเป็นคน 1% ที่หาเงินเก่งที่สุด' เขียนโดย คุณเกรซ ..เฌอมาลย์ รัตนพงศ์ตระกูล ไอดอลด้านความคิดทัศนคติ การใช้ชีวิต ความรัก ความสัมพันธ์ การหาเงิน ที่เป็นทั้งโค้ชสอนคอร์สออนไลน์ นักเขียน และเจ้าของเพจที่มีผู้ติดตามนับแสนคน.โดยเนื้อหาภายในเล่ม จะเป็นการปรับเปลี่ยนทัศนคติของเราให้เป็นคนที่ "หาเงินเก่ง" มากขึ้น...ให้เชื่อว่าตัวเองดีพอที่จะทำสิ่งต่างๆ อย่าทนอยู่กับสิ่งที่เราไม่ชอบ ต้องวางแผนอนาคตข้างหน้า 10-20 ปี ตั้งเป้าหมายให้ใหญ่ระบุจำนวนเงิน วันเดือนปีเวลาที่ต้องทำสำเร็จ.คนรวยไม่ได้โฟกัสที่ "การหาเงินเยอะ" แต่โฟกัสที่ "การหาเงินเก่ง" เพราะการมีเงินเยอะอาจเป็นเรื่องของโชค คุณอาจทำบางสิ่งบางอย่างประสบความสำเร็จและมีเงินมากมาย แต่เป็นคนรวยได้ไม่นาน เงินหมดไปแต่ถ้าคุณมีความสามารถในการหาเงิน คุณจะรอดได้ในทุกสถานการณ์ และถ้าคุณบริหารเงินเป็น คุณจะเป็น "คนหาเงินเก่งที่รวย" …หนังสือเล่มนี้จะช่วยเปลี่ยน Mindset ให้คุณคิดบวก (Think Positive) และคิดใหญ่ (Think Big) ขึ้น ช่วยให้คุณมีความเชื่อมั่นในคุณค่า ความสามารถ และศักยภาพของตัวเอง เมื่อคุณมี Mindset ที่ยอดเยี่ยมและ "หาเงินเก่ง"คุณจะมีชีวิตการเงินที่ประสบความสำเร็จกว่าคน 99% อย่างแน่นอน.สุดท้ายนี้เราต้องไม่ลืมที่จะคบแต่คนที่ช่วยดึงชีวิตของเราให้สูงขึ้น ไม่ใช่คนที่ทำให้เราตกต่ำลง เพราะชีวิตของเราจะเป็นยังไงขึ้นอยู่กับค่าเฉลี่ยของคนที่เราคบหาด้วย และนอกเหนือจากหาเงินเก่งแล้ว เราต้องรู้จักใช้เงินให้เป็น ฉลาดเรื่องการใช้เงิน ไม่ใช่หามาได้เท่าไหร่ ก็ใช้หมด เพราะถ้าเป็นแบบนี้เราไม่มีวันรวยอย่างแน่นอน.. เช่นกัน..

น้องอินทร์ เปิดดูคลิปช่องแบร์ฮัก ดูบ่อยๆ เพราะความเป็นธรรมชาติของ กานต์ และ ซารต์  2 ยูทูเบอร์ รวมถึงเพื่อน ๆ ของเขา  ถ้าจำไม่ผิดคลิปแรกที่ดู คือ คลิปที่รอเครปป้าเฉื่อย ที่แสนจะมีความอดทน ในการนั่งรอและ ตอนที่ซารต์กินก็ดูอร่อยไปซะทุกอย่าง ซึ่งน้องอินทร์ก็มีความสงสัยในใจล่ะ ว่าพวกเขาทำงานกันยังไง มีวิธีคิด Content ยังไงและตอนนี้ก็เป็นโอกาสดีที่น้องอินทร์และนักอ่านจะมาได้รู้การทำงาน เคล็ดลับ เบื้องหลัง การทำคลิป วิดีโอ การหารายได้จาก Youtube อ่านเลย หลังบ้าน YouTuber

เพราะความรักของ "แม่สำเภา" ที่มีให้กับ “ไพฑูรย์” ลูกชายคนเล็กของตน ที่อยากให้มีคู่ครองที่ดีที่สุด เหมาะสมกับฐานะทางบ้านที่สุด ความรัก ความหวังดีนี้ จะทำให้ “ไพฑูรย์” มีควาสุขตามที่เธอคิดหรือไม่?จากนิยายขายดี ของ "จุฬามณี สู่ละครช่อง 3 ที่น้องอินทร์อยากจะชวนเพื่อน ๆ มาอ่านนิยาย มาลุ้นความรักของยุพิน ว่าสุดท้ายเธอจะคู่กับใคร “ไพฑูรย์” รักแรกและความหวังที่จะเป็นรักสุดท้าย “ไพรวัลย์” พี่ชายของคนรักที่พ่อแม่บังคับให้แต่งงานด้วยเพื่อปลดหนี้ “ผู้กองนิพัฒน์” ชายหนุ่มที่ขยันส่งจดหมายจีบยุพินอย่างไม่ลดละ “มิ่งขวัญ” หนุ่มที่มานะ หลงรักเสียงเพลง และหลงรักยุพินมาเนิ่นนานในวันวิวาห์ชายใดจะได้เคียงคู่ไปกับยุพิน หยิบนิยายทุ่งเสน่หาขึ้นมาอ่านดูสิ!  

เมื่อน้องอินทร์ได้มีโอกาสหยิบหนังสือ Dear You ถึงคุณ, ด้วยความคิดถึง ขึ้นมาอ่าน ก็เกิดคำถามว่าครั้งสุดท้ายที่เขียนจดหมายมันเมื่อไรกันนะ ไม่ต้องพูดถึงได้รับจดหมายหรอก นานมากพอที่จะจำไม่ได้ ว่ากี่ปีแล้ว ดีไม่ดี อาจจะถึง 10 ปีด้วยมั้งการได้ลองอ่านหนังสือ Dear You ถึงคุณ, ด้วยความคิดถึง ในแต่ละบท มีการโต้ตอบ มีการทิ้งคำถามให้ หรือเสนอมุมมอง ที่ทำให้ตัวเราได้ทบทวน ขบคิด ไปกับสถานการณ์นั้นๆ ก็เพลินดีนะลองหยิบขึ้นมาอ่านดูสิ!ว่าแต่ว่าคุณเขียนจดหมายครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ครับ

คนในแวดวงแห่งการลงทุน รู้ว่า..เขาเป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก ..“วอร์เรน บัฟเฟตต์”แต่อะไรกัน..คือความลับที่ทำให้คนๆนึง ก้าวมาอยู่ในจุดนี้ได้.เชิญไขปริศนาความมั่งคั่งของคนที่ร่ำรวยมหาศาล ด้วย“Buffettology” หรือ “ศาสตร์แห่งบัฟเฟตต์” ..หนังสือที่ แมรี บัฟเฟตต์ อดีตลูกสะใภ้ของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ผู้เป็นอัจฉริยะทางการเงิน และ เดวิด คลาร์ก ผู้เชี่ยวชาญในศาสตร์แห่งบัฟเฟตต์ เป็นคนร่วมกันเขียนขึ้นมา.บนแนวคิดการลงทุนแบบเน้นมูลค่า (Value Investor)ตัวอย่างเช่น ควรลงทุนในบริษัทที่รู้จักเป็นอย่างดี ในงบประมาณที่เหมาะสม และถือไว้ในระยะยาว จะเป็นวิธี(แนวคิด)ที่ Safe กว่า การเก็งกำไรแบบซื้อ-ขายหุ้น เช่น การซื้อหุ้นมาในราคาที่ถูก แล้วพยายามขายออกไปในราคาแพง...วอร์เรน ยังบอกอีกว่า การลงทุนในหุ้นหรือกิจการใดๆ ด้วยมูลค่ามากหรือน้อยก็เป็นอีกประเด็นหนึ่ง แต่สิ่งที่ต้องมีแนวคิดไว้ก็คือ การลงทุนด้วยมุมมองของผู้ประกอบการร่วมหรือ พาร์ทเนอร์ แทนที่จะมองว่าตนเองเป็นนักเก็งกำไรนั่นหมายถึง เราจะประเมินหุ้น(เลือกซื้อหุ้นที่จะลงทุน) โดยถือว่าเราเป็นผู้ไปร่วมเป็นเจ้าของกิจการ จึงจะเห็นภาพ.ธุรกิจที่มีศักยภาพ(โดยรวม)ดี แม้จะมีผลตอบแทนที่ธรรมดา ก็อาจจะดีกว่า ธุรกิจที่มีศักยภาพธรรมดา แต่มีผลตอบแทนที่ดี..สำหรับเหล่านักลงทุน ทีมีปริมาณเงินมหาศาล.. เพราะว่าหลักของการลงทุนแบบเน้นมูลค่า (Value Investor) จะดูที่ความมั่นคงในการลงทุนระยะยาวเป็นหลัก ...เรียกว่า..หากต้องการแนวทาง หรือแนวคิดเกี่ยวกับความสำเร็จของนักลงทุนที่ชื่อ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ว่ามันคือสิ่งใดกันแน่..ผลงานของแมรีชุดนี้ เป็นหนังสือที่อ่านง่าย คม สั้น กระชับ และยังมีคำตอบที่อธิบายเกี่ยวกับกลยุทธ์การลงทุนอย่างแท้จริง

หลังจากที่นักเขียน รอมแพง ประกาศเขียน บุพเพฯ ภาค 2 โดยจะใช้ชื่อนิยายว่า พรหมลิขิต น้องอินทร์ก็เฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อ ผลงานเล่มนี้ นักอ่านยังคงเจอตัวละครจากเรื่อง บุพเพสันนิวาส รวมถึงการเฉลยเรื่องราวความเป็นมาของคัมภีร์กฤษณะกาลี  และครั้งนี้ พุดตานตัวละครยุคปัจจุบันที่จะหลุดเข้าไปในอดีต ทั้งตัว และได้พบเจอกับเรื่องราวในยุคนั้นโดยที่เธอไม่ความรู้ทางประวัติศาสตร์ มีเพียงความรู้ด้าน การจัดสวน การปลูกต้นไม้ และความรักสวยรักงาม ที่พกติดตัวไปถ้านักอ่านอยากรู้เรื่องราวความเป็นไปของนิยาย พรหมลิขิต เชิญเลือกซื้อเลือกอ่านก่อนใครได้เลยครับ

INTO THE MAGIC SHOP รีวิว หรือชื่อหนังสือ เราทุกคนล้วนมีร้านเวทมนตร์อยู่ในใจ เป็นหนังสือที่- เป็นแรงบันดาลให้วง BTS แต่งเพลงชื่อ Magic Shop- หนังสือที่องค์ทะไลลามะยกย่อง- เป็นหนังสือขายดี และถูกแปลมาแล้ว 27 ภาษาทำไมหนังสือเล่มเล็ก ๆ เล่มนี้ ดูจะมีพลังมากขนาดนั้น แต่เมื่อได้หยิบ หนังสือ INTO THE MAGIC SHOP เราทุกคนล้วนมีร้านเวทมนตร์อยู่ในใจ ขึ้นมาอ่านก็จะพบว่าคำตอบหนังสือเล่มนี้สร้างแรงบันดาลใจ ให้กำลังใจ ให้เคล็ดลับ เมื่อสมองและหัวใจสอดประสาน ปาฏิหาริย์ใดก็เป็นจริงได้

ผู้เขียนหนังสือ Inbound Marketing การตลาดแบบแรงดึงดูด คือทีมที่ปรึกษาด้านการตลาดและเจ้าของเพจ Content Shifu ที่มีชื่อเสียงด้านการทำ Digital Marketing และ Online contentหนังสือ Inbound Marketing กล่าวถึงเนื้อการตลาดแบบแรงดึงดูดรวบรวมหลักการทำการตลาดทั้ง Online และ Offline เหมาะกับนักเรียนด้านการตลาดและนักการตลาดทุกเพศทุกวัย

นิยาย กลิ่นกาสะลอง นิยายเล่มหนาที่ละเมียมละไมพรรณนาบรรยายให้ผู้อ่านได้เห็นภาพขอเรื่องราวได้อย่างชัดเจน จากนิยายสู่ละครช่อง 3 ได้นักแสดงฝีมือดี เจมส์ มาร์ ที่มาถ่ายทอดบทบาท หมอทรัพย์ และ ทินกฤต ส่วน ญาญ่า อุรัสยา ต้องรับบทบาทถึง 4 คาแรคเตอร์ไม่ว่าจะเป็น กาสะลอง ซ้องปีป พริมพี่ ผีกาสะลอง เรื่องราวระหว่างนิยายและละคร กลิ่นกาสะลอง จะมีความเหมือน ความแตกต่างกันอย่างไร น้องอินทร์ขอแนะนำให้นักอ่านได้ลองอ่านนิยาย กลิ่นกาสะลอง กันดูนะครับ

ความสนุกของเรื่องนี้ อยู่แทบจะทุกบท นักอ่านจะได้เพลิดเพลินไปกับความฉลาดเป็นกรดของเมียหลวงที่จะต้องขัดขวางเหล่าบรรดาหญิงสาวที่หมายปองสามีตัวเอง ทั้งสนุก ทั้งฮาพออ่านเรื่องย่อของฮูหยินบุกแล้ว แวบแรกนี่ผมเองก็คิดว่าเรื่องฮูหยินบุกนี้เหมือนอ่านนิยายชีวิตเนอะ แต่เอาจริงๆ แล้วถ้าได้อ่านจริงๆ แล้ว เนื้อเรื่องจะออกแนวคอมเมดี้มากกว่า เพราะว่ามีบทฮาๆ เยอะมากนิยายฮูหยินบุกเรื่องนี้ นำเสนอความรักเป็นประเด็นหลักนะครับ ตามบทคือทั้งคู่ไม่ได้รักกันมาก่อนที่จะแต่งงาน แต่รักกันหลังจากที่แต่งงานมีลูกไปแล้ว เซียวซิ่งฮวาถูกเลี้ยงขึ้นมาเพื่อให้เป็นภรรยาของพระเอกอยู่แล้วสำหรับคอนิยายจีนที่อยากได้เล่มที่อ่านแบบผ่อนคลายๆ เล่มนี้แนะนำเลยครับ 

ตั้งแต่เราเกิดมาจนโต หลายคนคงมีคำถามมากมายในสถานการณ์ต่างๆ แต่ละช่วงของชีวิตกันอย่างแน่นอน.คุณขุนเขา สินธุเสน เขจรบุตร ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้มีองค์ความรู้ที่ผ่านการศึกษาจากคณะจิตวิทยาของมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งในประเทศออสเตรเลียและผันตัวเป็นนักจิตวิทยาพัฒนาสมองคนดังที่ทำช่อง YouTube เกี่ยวกับด้านนี้โดยตรง.ภายในเล่มจะเป็นการรวบรวมบทความในนิตยสารธรรมะที่อ่านฟรีรายสัปดาห์ ประกอบกับข้อมูลที่อ้างอิงมาจากงานวิจัยด้านการศึกษาเกี่ยวกับสมองและระบบที่เกี่ยวข้องมีการผสมผสานระหว่างหลักจิตวิทยา ประสาทวิทยาศาสตร์และพุทธศาสตร์ ได้อย่างกลมกล่อมลงตัวโดยประเด็นหลักที่เป็นจุดเริ่มต้นของการแก้ปัญหาและหัวใจสำคัญของทุกคำตอบก็คือ “คำถาม” นั่นเอง.เนื้อหาใน สมองสงสัยใจตอบมีอยู่ 3ส่วน ได้แก่พัฒนาจิต พัฒนาความคิด และพัฒนาชีวิตซึ่งจะมีหัวข้อย่อยๆขอเรื่องต่างๆ ให้เราได้อ่านทำความเข้าใจ ในทุกๆข้อสงสัยของชีวิต.ว่ากันในส่วนของ ท่อนฮุก หมัดเด็ดของหนังสือเล่มนี้เลยก็คือ คำคม ข้อคิด คำกลอน หรือ Quoteของนักวิชาการ นักปรัชญาที่สอดแทรกอยู่ตลอดการอ่าน แถมท้ายเล่ม..ยังมีการแนะนำเรื่องการเจริญสติ และการฝึกสมาธิไว้อีกด้วย.ยกตัวอย่างสิ่งที่สามารถนำไปปรับใช้ได้ทันทีเลยก็คือจิตใต้สำนึกทำงานเหมือนแว่นขยาย >>>สิ่งที่สมองของคนเราให้ความสนใจอยู่ในขณะนั้น จะขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆถ้าเรามัวแต่โฟกัสสิ่งแย่ๆ เราก็จะดึงดูดสิ่งไม่ดีรอบตัวให้เรามองแบบนั้นต่อไปเรื่อยๆ อารมณ์ด้านลบก็จะไม่มีที่สิ้นสุด.เมื่ออ่านจนจบ จะทำให้เข้าใจอะไรในตนเอง และสัจธรรมของชีวิตคนเรามากขึ้น แถมยังรู้สึกอย่างทึ่งๆ อีกว่า>>สมองของคนเรานั้น ช่างซับซ้อนและมหัศจรรย์เสียเหลือเกิน<<

เคยมีความรู้สึก คิดในใจกันแบบนี้บ้างไหมครับ “ทำไมเราถึงไม่สมหวัง?”“ทำไมความรัก ชีวิตคู่ มันไม่มีความสุข? “ทำไมเค้าถึงเปลี่ยนไป?”.ก่อนที่จะคิดได้ หรือหาคำตอบนั้น เราอาจจะตั้งคำถามผิดแต่แรกก็ได้....เพราะชีวิตมีทั้งสมหวังและผิดหวังเพราะความรักมันต้องมีทั้งทุกข์และสุขเพราะคนเราเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา.หนังสือ “กฎข้อนึงของความสัมพันธ์” เล่มนี้กำลังบอกให้เราทราบถึง “สัจนิรันด์” ที่ไม่อาจปฏิเสธได้นั่นคือ “สรรพสิ่งย่อมเปลี่ยนแปลง ไปตามกาลเวลาอยู่เสมอ”และความทุกข์ก็มักจะเกิดจาก เหตุแห่งการเปลี่ยนแปลงนั้น.ขนาดตัวเราเอง ตั้งแต่เด็กจนโต ยังมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดความสัมพันธ์ก็เช่นกัน เราไปมีความคาดหวัง ว่าคนรัก เพื่อน หรือครอบครัว ต้องเป็นแบบนั้น ต้องเป็นแบบนี้พอเกิดการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะทางกายหรือทางใจ เราจึงผิดหวัง เศร้าโศก เสียใจและเป็นทุกข์.อ่านถึงตรงนี้บางคนอาจเข้าใจผิดไปตีความว่า ให้ปล่อยวางแบบไม่คิดอะไรกับชีวิตเลยซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่เช่นนั้น เพราะการยอมรับความจริงดังกล่าวเป็นการเรียกสติ ในวันแย่ๆของเราที่เราเจอ “การเปลี่ยนแปลง แบบไม่คาดคิด”สุดท้ายเราก็ต้องอยู่ให้ได้ ต้องเข้าใจสัจธรรมนั่นเอง.ในโลกใบนี้ มีหลากหลายความสัมพันธ์รอบตัวเราก็จริงแต่อย่าละเลย หรือลืมความสัมพันธ์กับตัวเองเพราะสิ่งสำคัญที่สุด คือ รักและให้กำลังใจตัวเองเข้าไว้ .มีอีกข้อคิดหนึ่งในหนังสือเล่มนี้ ที่ค่อนข้างสะดุดตา(สะดุดใจผู้เขียนด้วย) กล่าวแล้วสรุปความได้ว่า .บางคนไม่อยากมีความรักครั้งใหม่ โดยยังกลัวจากความผิดหวังในอดีต แต่ความจริงแล้ว หากเรากล้าคว้าโอกาสกล้าเสี่ยงกับความรักครั้งใหม่ เสี่ยงผิดหวังอีกสักหลายๆ ครั้ง จนมีครั้งหนึ่งที่เราเจอคนที่ดีมากพอ ที่จะทำให้เรามีความสุขไปตลอดชีวิต มันก็คุ้มค่ามิใช่หรือ?.จงอย่ากลัวที่จะผิดหวัง ในการพบเจอความสัมพันธ์ใหม่ๆ..

ตอนแรกก็คิดว่าเป็นหนังสือแปลจะเข้ากับบริบทคนไทยไม่ได้ แต่เห็นกระแสที่แรงมากๆ เลยตัดสินใจซื้อดู ปรากฏว่าชอบมากครับ วิธีการและเนื้อหาสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับสังคมเราได้ตรงๆ เลยล่ะเพิ่งรู้ว่าคำว่า เฮงซวย หรือ Asshole มันเป็นคำสากลที่หมายถึงกลุ่มคนนิสัยลักษณะเดียวกัน ยังไงเราก็ต้องเจอเข้าสักวัน ไม่เราก็เขานี่แหละที่จะเป็นคนเฮงซวยในสายตาคนอื่น

?เนื้อเรื่องสนุก อ่านได้เรื่อยๆ ไม่เครียดกับการชิงไหวพริบเกินไป มีเรื่องรักนิดหน่อยให้ผ่อนคลาย ลูกน้องพระเอก จะตลกมาก น้องชายนางเอกจะชอบปกป้องพี่สาว แต่ความจริงเป็นคุณชายไม่ได้เรื่องได้ราว เพื่อนนางเอกเป็นหมอที่เก่งมาก แต่จะชอบขายยาปลอมหาเงินเข้ากระเป๋า นักบวชเฉินหนิงก็เป็นเพื่อนนางเอกที่มีบทบาทมากในการช่วยนางเอกเหมือนกัน